6 แรงงาน ถูกเลิกจ้าง ตกงานจากพื้นที่บนเกาะสมุย จ.สุราษฏร์ธานี จากการแพร่ระบาดของเชื้อโรคไวรัสโควิด-19 ตัดสินใจกลับภูมิลำเนาบ้านเกิด สุดท้ายหลบด่านความมั่นคง จนมาโผล่กลางเมืองระนอง
เมื่อเวลา 20.00 น.วันที่ 19 เมษายน 2563 ล่าสุดเมื่อช่วงค่ำที่ผ่านมา แรงงานก่อสร้างชาวระนองทั้ง 6 ราย คือ ซึ่งเป็นชาย 5 ราย และหญิงอีก 1 ราย ได้แอบหลบหนีผ่าน ด่านความมั่นคง ต.ราชกรูด ฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดระนอง กลับเข้ามาในพื้นที่กลางเมืองระนองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเข้าพักที่ห้องเช่าหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ม.6 ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง นายสุขสันต์ นนทิโกมล ผู้ใหญบ้านหมู่ที่ 6 ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง จ.ระนอง ภายหลังจากได้รับแจ้งจากลูกบ้านในพื้นที่ว่ามีบุคคลแปลกหน้ามาเข้าพักในหมู่บ้าน จึงรายงานให้ นายบุญชัย สมใจ นายอำเภอเมืองระนอง ทราบทันที และมีการสั่งการให้ฝ่ายปกครองอำเภอเมืองระนอง นำโดย นายพันธรัฐ จิซ่อง ปลัดอำเภอเมืองระนอง และ นายศักดินันท์ ธรรมพรหม ปลัดอำเภอเมืองระนอง พร้อมสนธิกำลังทหารชุดสัมพันธ์มวลชนระนอง เข้าทำการตรวจสอบทันที
ในที่เกิดเหตุ พบแรงงานทั้ง 6 ราย ได้เข้าพักในห้องเช่าหลังหนึ่ง เป็นการส่วนตัว โดยเจ้าหน้าที่ได้ทำการตรวจสอบประวัติ และทำเซ็นต์เอกสารหนังสือรายงานตัวเข้าพื้นที่ จ.ระนอง พร้อมระเบียบปฎิบัติในการถูกกักตัว 14 วัน ห้ามออกจากบ้านเป็นอันขาด ให้ทุกคนรับทราบ โดยจะมีผู้จัดส่งอาหารให้ทุกมื้อ และให้ทางญาติพี่น้องนำส่งสิ่งของจำเป็นและสิ่งที่ต้องการได้ โดยจะมีชุด ชรบ.หมู่บ้าน พร้อมชุดสอบสวนโรคของสาธารณสุขในพื้นที่มาตรวจสอบทุกวัน
นายรอหีม มี๊ด อายุ 44 ปี หัวหน้ากลุ่มแรงงานดังกล่าว เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่า ได้แอบหลบเดินทางเข้าจังหวัดระนอง โดยทางรถจักรยานยนต์ ซ้อนท้าย 3 คน จำนวน 2 คัน อ้อมผ่านด่านตรวจความมั่นคง โดยทางเจ้าหน้าที่ไม่ทราบ สาเหตุที่ตัดสินใจเดินทางกลับเข้าเมืองระนองเพราะว่า เดินทางกลับไปเกาะสมุย ก็ไม่ได้ เพราะทางโน้นก็ถูกกักตัว 14 วันเช่นกัน เลยตัดสินใจกลับเข้าบ้านดีกว่า และเจ้าหน้าที่ระนอง ก็ให้กักตัวอยู่ในบ้าน เมื่อมาถึงก็ให้ญาติไปแจ้งทางผู้ใหญ่บ้านให้ทราบทันที เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่าทราบหรือไม่เมื่อเราถูกกักตัวครบกำหนด จะถูกดำเนินคดีในเรื่องหลบหนีเข้าเมือง นายรอหีม กล่าวว่าไม่มีครับ แต่ถ้าเราขาดการกักตัวไม่ครบวันหนึ่งวันใด อันนั้นโดนครับ
ภายหลังจากเสร็จสิ้นการรายงานตัวเข้าพื้นที่ นายพันธรัฐ จิซ่อง ปลัดอำเภอเมืองระนอง ได้กล่าวชี้แจงทำความเข้าใจให้ทุกคนทราบในการหลบหนีเข้ามา ฝ่าฝืนตามคำสั่งของจังหวัดระนองในมาตรการเข้ม การป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 และให้ทุกคนต้องอยู่ในการปฎิบัติตามคณะกรรมการควบคุมโรค จ.ระนอง และปฎิบัติตามคำสั่งของเจ้าพนักงาน เช่น การเว้นระยะห่างทางสังคม ในการดำรงชีวิต ทุกคนห้ามออกจากบ้านเด็ดขาด ให้อยู่ประจำที่ทั้ง 14 วัน รวมทั้งการสวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา หากกักตัวครบ 14 วันแล้ว จะมีเรื่องการดำเนินคดีในข้อหาหลบหนีเข้าจังหวัด ก่อนให้ทุกคนแยกย้ายเข้าพักผ่อนต่อไป
นายศักดินันท์ ธรรมพรหม ปลัดอำเภอเมืองระนอง ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า ในส่วนของประชาชนชาวระนองทั้ง 6 คน ที่แอบลักลอบเดินทางเข้ามาในจังหวัด โดยเมื่อวันที่ 18 ที่ผ่านมา ได้เดินทางมาที่ด่านความมั่นคงจังหวัดระนองด้วยพาหนะรถยนต์กระบะจำนวน 2 คัน คันละ 3 คน เจ้าหน้าที่ได้ชี้แจงถึงคำสั่งจังหวัดระนองที่ 807/2563 ซึ่งกำหนดไว้ว่าห้ามบุคคลใดเดินทางเข้า ในพื้นที่จังหวัดระนอง โดยเด็ดขาด เว้นแต่บุคคลนั้นมีใบรับรองแพทย์ที่ยืนยันว่า ไม่เป็นโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ซึ่งทั้ง 6 คน ไม่มีใบรับรองแพทย์ดังกล่าวมาแสดง หรือเหตุอันจำเป็นที่ได้รับการยกเว้นเข้าเขตจังหวัดทั้ง 6 ข้อได้ เจ้าหน้าที่จึงให้เดินทางกลับไปยังภูมิลำเนาที่เดินทางมา และได้รับทราบว่าเดินทางมาจากพื้นที่ อ.เกาะสมุย และเมื่อทุกท่านทราบก็ยินดีที่จะเดินทางกลับไป จนวันนี้ช่วง 17.00 น. ได้รับทราบว่าทั้งหมดได้เดินทางกลับเข้ามาอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหน้าที่ประจำด่านก็ได้แจ้งแล้วว่าห้ามเข้าโดยเด็ดขาด และเดินกลับออกไป จนเมื่อค่ำที่ผ่านมาประมาณ หนึ่งทุ่มเศษ ก็ได้รับแจ้งว่า มีผู้หลบหนีเข้ามาในตัวจังหวัดระนองโดยไม่ได้รับอนุญาต และฝ่าฝืนคำสั่งจังหวัดดังกล่าว จนท.ทหารพร้อมฝ่ายปกครองอำเภอเมืองจึงเข้าร่วมทำการตรวจสอบทันที ที่ ม.6 ต.บางริ้น อ.เมืองระนอง และพบว่าเป็นบุคคลกลุ่มที่ฝ่าฝืนคำสั่ง จึงอาศัยอำนาจตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ.2548 ในการเป็นเจ้าพนักงานควบคุมโรคติดต่อ ดำเนินการกักตัวเพื่อควบคุมโรคติดต่อ ในเคหะสถานเป็นเวลา 14 วัน และได้ดำเนินการตามมาตรการครบถ้วน จึงเรียนมาให้พี่น้องประชาชนทราบว่า คำสั่งจังหวัดระนองที่ 807/63 ยังมีผลบังคับใช้อยู่ ทุกด่านตรวจที่เดินทางเข้ามา จ.ระนอง อย่างเคร่งครัด ผู้ใดที่จะเข้ามาจังหวัดระนอง ให้ศึกษาคำสั่งนี้ และปฎิบัติตามกฎระเบียบ หากฝ่าฝืนจะมีความผิด ตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ ซึ่งจะมีโทษทั้งจำและปรับ
กฤษดา เอกวานิช ผู้สื่อข่าวภูมิภาคจ.ระนอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง