ข่าว

'อาคม'​ ไข้ข้อกังวลภาคเอกชน​ห่วงรัฐบาลรักษาการ​ ยืนยันไม่กระทบเศรษฐกิจ​

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เอกชนห่วงรัฐบาลรักษาการกระทบเศรษฐกิจ​ 'อาคม'​ รีบแจ้งไม่กระทบ​ จีดีพียังโตได้อีก​ 3-4% ส่วนเงินเฟ้อพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยสัปดาห์​หน้า

นายอาคม เติมพิทยาไพสิฐ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง​ ชี้แจงต่อภาคเอกชนหลังจากยุบสภาสภาผู้แทนราษฎร​ รัฐบาลรักษาการ​อาจส่งผลกระทบต่อ​ "เศรษฐกิจ" โดยนายอาคม​ อธิบายว่า​ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจไทยตอนนี้เป็นปัจจัยภายนอก คือ ภาวะเศรษฐกิจโลก ซึ่งส่งผลกระทบต่อการส่งออกของไทย ตั้งแต่ไตรมาสที่ 3 ของปี 2565 ต่อเนื่องมามกราคมปีนี้ ที่ติดลบต่อเนื่อง ดังนั้น ไทยต้องหาตลาดใหม่ โดยเฉพาะอาเซียน

 

ประเทศไทยกำลังเผชิญกับภาวะค่าเงินบาทเฟ้อ

 

ส่วนเรื่องค่าเงินเฟ้อ เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเกิดความผันผวน ซึ่งมาจากปัจจัยภายนอก รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ​ ซึ่งจะพิจารณาการขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปลายสัปดาห์นี้​ แต่ต้องติดตามอัตราแลกเปลี่ยนของเราจะเป็นอย่างไร เพราะค่าเงินบาทมีทั้งอ่อนและแข็งเกินไป แต่มองว่าปัจจุบันยังอยู่ที่เคยแข็งค่าระดับ 32-33 บาทต่อดอลลาร์  แต่ระดับดังกล่าวนั้น ถือว่าแข็งกว่าปลายปีที่แล้ว

ส่วนเหตุการณ์ธนาคารล้มในสหรัฐและยุโรป​ ได้หารือกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) แล้วว่า​ ธปท.​ ยืนยันแล้วไม่ส่งผลกระทบ​ เพราะมีธุรกรรม หรือการลงุทนในธนาคารนั้นน้อยมาก จึงไม่มีปัญหาต่อระบบธนาคารไทย

 

นอกจากนี้ ระบบการกำกับดูแลสถาบันการเงินของไทยหลังจากปี 2540 ก็มีความเข้มงวด ทำให้ไทยมีมาตรฐานเข้มแข็ง ซึ่งมีระบบการค้ำประกันเงินฝาก เงินสำรอง บีไอเอสยังสูงกว่ามาตรฐาน หนี้เสียกว่า 2% ดังนั้น สถาบันการเงินยังแข็งแรง

 

"มองว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะโตได้ 3-4% และหากถามว่า จะโตได้อีกหรือไม่ ต้องมีเรื่องการลงทุนเข้ามาเพิ่ม โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐต้องลงทุนต่อ ส่วนการลงทุนภาคเอกชนนั้น ในปีก่อนโตได้ 6% แต่ภาครัฐยังโตไม่มาก​ ต้องเร่งรัดให้มีการใช้จ่ายงบตลอดเวลา" นายอาคม​ กล่าว

 

สัญลักษณ์​แห่งกฎหมาย

 

ทั้งนี้​ รัฐบาล​รักษาการ​ สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้​ แต่ต้องอยู่ในรัฐธรรมนูญซึ่งมีข้อห้ามระบุไว้ชัดเจนว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.)​ ที่พ้นจากตำแหน่งตามมาตรา 167 (2) ต้องปฏิบัติหน้าที่ต่อไปตามมาตรา 168 ซึ่ง ครม.รักษาการสามารถประชุมและบริหารราชการแผ่นดินได้ตามปกติ แต่ต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขที่รัฐธรรมนูญมาตรา 169 กำหนดไว้ ดังนี้ 1. ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติงานหรือโครงการ หรือมีผลเป็นการสร้างความผูกพันต่อคณะรัฐมนตรีชุดต่อไป เว้นแต่ที่กำหนดไว้แล้วในงบประมาณรายจ่ายประจำปี

 

2. ไม่แต่งตั้งหรือโยกย้ายข้าราชการซึ่งมีตำแหน่งหรือเงินเดือนประจำหรือพนักงานของหน่วยงานของรัฐ รัฐวิสาหกิจ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้บุคคลดังกล่าวพ้นจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือพ้นจากตำแหน่ง หรือให้ผู้อื่นมาปฏิบัติหน้าที่แทน เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้งก่อน

 

3. ไม่กระทำการอันมีผลเป็นการอนุมัติให้ใช้จ่ายงบประมาณสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เว้นแต่จะได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)​ ก่อน และ 4. ไม่ใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดอันอาจมีผลต่อการเลือกตั้ง และไม่กระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนข้อห้ามตามระเบียบที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด

 

ขณะที่ระเบียบ  กกต. ว่าด้วยการใช้ทรัพยากรหรือบุคลากรของรัฐเพื่อกระทำการใดซึ่งจะมีผลต่อการเลือกตั้งปี​ 2563 เป็นระเบียบที่วางข้อห้ามในการปฏิบัติหน้าที่ของ ครม. ขณะอยู่ในตำแหน่งเพื่อปฏิบัติหน้าที่ โดยคำนึงถึงการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ และคำนึงถึงความสุจริต เที่ยงธรรม ความเสมอภาค และโอกาสทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง

 

โดยเงื่อนไขกำหนดห้าม ครม.รักษาการทำอะไรบ้าง มีดังนี้ 1.​ ใช้ทรัพยากรของรัฐ หรือบุคลากรของรัฐ โดยการกำหนดนโยบาย โครงการ แผนงาน โดยให้มีผลบังคับใช้ในทันที และมีลักษณะเป็นการสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง

 

2.​ จัดให้มีการประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่ นอกเหนือจากการประชุมตามปกติ และมีการใช้ทรัพยากรของรัฐหรือบุคลากรของรัฐ 3.​ กำหนด สั่งการหรือมอบหมายให้มีการประชุม อบรม หรือสัมมนาบุคลากรของรัฐ หรือเอกชน โดยใช้เงินงบประมาณของหน่วยงานของรัฐหรือเงินของกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ โดยอาจให้มีการแจกจ่ายทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด เว้นแต่เป็นการประชุมตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน

 

4.​ กำหนด สั่งการหรือมอบหมายให้มีการอนุมัติ โอนหรือเปลี่ยนแปลงรายการงบประมาณรายจ่ายของหน่วยงานของรัฐหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือให้หน่วยงานของรัฐหรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ ทั้งการแจกจ่ายทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดให้แก่ประชาชน เว้นแต่มีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน

 

5.​ กำหนด สั่งการหรือมอบหมายให้มีการแจกจ่ายหรือจัดสรรทรัพยากรของรัฐให้แก่บุคคลหนึ่ง บุคคลใด โดยไม่มีเหตุอันสมควร เว้นแต่เป็นกรณีต้องดำเนินการตามที่กฎหมายกำหนด หรือมีเหตุจำเป็นเร่งด่วนเพื่อรักษาผลประโยชน์ของรัฐหรือประชาชน

 

6.​ ใช้พัสดุหรือเบิกค่าใช้จ่ายในการเดินทางจากหน่วยงานของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่ หรือใช้บุคลากรของรัฐปฏิบัติงานเพื่อสร้างโอกาสให้เกิดความไม่ทัดเทียมกันในการเลือกตั้ง

 

และ 7.​ ใช้ทรัพยากรของรัฐ เช่น คลื่นความถี่ หรือเครื่องมือ อุปกรณ์ที่ใช้ในการส่ง วิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม หรือใช้งบประมาณด้านการประชาสัมพันธ์ของหน่วยงานของรัฐ หรือกิจการที่รัฐถือหุ้นใหญ่เพื่อประโยชน์ในการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์

logoline