โควิด-19

"หมอธีระวัฒน์" เตือนอย่าชะล่าใจ ระวังคลื่นลูกใหม่ใหญ่กว่าเก่า

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"หมอธีระวัฒน์" เตือนอย่าชะล่าใจ ระวังคลื่นลูกใหม่ใหญ่กว่าเก่า แม้ผู้ป่วยอาการหนักลด - ดูเหมือนคุมอยู่ เสี่ยงระบาดเงียบ ๆ ไวรัส สายพันธุ์เพี้ยน พัฒนาขึ้นกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่

วันที่ 20 กันยายน 2564 ศ.นพ. ธีระวัฒน์ เหมะจุฑา "หมอธีระวัฒน์" หรือ หมอดื้อ ผู้อำนวยการศูนย์วิทยาศาสตร์สุขภาพโรคอุบัติใหม่ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โพสต์ผ่านเฟซบุ๊กระบุถึงสถานการณ์ "โควิด-19

 

 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

โดย หมอธีระวัฒน์ ระบุว่า ระวังคลื่นลูกใหม่ใหญ่กว่าเก่า เราต้องไม่ตายใจว่าอาการหนักน้อยลง และปล่อยให้มีการแพร่เงียบ ๆ ไปเรื่อย ๆ ต่อไปอีก 

 

ลักษณะของการปล่อยให้มีการระบาดตามธรรมชาติและมุ่งก่อให้เกิดลักษณะของภูมิคุ้มกันหมู่ ที่เรียกว่า herd immunity โดยคนในพื้นที่มีการติดเชื้อมากกว่า 60% โดยคนที่มีอาการรุนแรงก็ตายไปหรือเข้าโรงพยาบาลอาการหนักไป ดังที่เห็นในเขตมาเนาส์ ของเปรู 

 

ซึ่งภายในครึ่งปีแรกของปี 2563 มีการติดเชื้อเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลอย่างมากมาย แต่เมื่อถึงครึ่งปี พบว่าคนป่วยอาการหนักเสียชีวิตเข้าโรงพยาบาลกลับลดลงอย่างเห็นได้ชัด และทำให้การรักษาวินัยส่วนบุคคล การรักษาระยะห่างล้มเหลวไปหมด 

 

ดังนั้น เกิดการระบาดเงียบ ๆ มายังคนในพื้นที่นั้น จนกระทั่งไวรัสสายเพี้ยนพัฒนาขึ้นดังเช่น เป็นสายเปรู และในเดือนธันวาคมของปี 2563 จึงเกิดมีการระบาด อาการหนัก ในพื้นที่ดังกล่าวใหม่ 

 

"หมอธีระวัฒน์" เตือนอย่าชะล่าใจ ระวังคลื่นลูกใหม่ใหญ่กว่าเก่า

 

 

พร้อมกันนี้ "หมอดื้อ" หรือ หมอธีระวัฒน์ ยังเน้นย้ำให้รีบลุยแหลกสู้โควิด ว่า "สู้โควิด ตีแหลก ตีหนัก ต้องแตกหัก รวดเร็ว คัดกรอง แยกตัว รักษาทันทีที่รู้ว่าติด วัคซีนที่คุมสายไวรัสได้ ต้องตะลุยหมดทั้งประเทศ ทั้งหมดพร้อมกันรวดเร็วที่สุด ต่อเนื่องและมีวินัย" 

 

ซึ่งก่อนหน้านี้ หมอธีระวัฒน์ ได้โพสต์ข้อความระบุถึง การป้องกันการปะทุของ สายพันธุ์เพี้ยน คงต้องยกให้ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใช้บริบทของ การควบคุมภายในร่างกายมนุษย์และภายนอกร่างกายมนุษย์ นั่นคือ 

 

1. การสร้างแรงกดดันอย่างรุนแรงไม่ให้มีการแพร่กระจายเชื้อจากคนหนึ่งไปหาคนอื่น รวมทั้งทำความสะอาดพื้นผิวสาธารณะต่าง ๆ อย่างสม่ำเสมอ โดย 

 

ก. การวินิจฉัยได้เร็วที่สุดและให้การรักษาเร็วที่สุด ตั้งแต่นาทีแรก 

ข. ควบรวมการใช้สมุนไพรที่มีดาษดื่นและขึ้นทะเบียนในระบบสาธารณสุขของจีนอยู่แล้ว และยกระดับเป็นขั้นเป็นตอนควบกับการรักษาแผนปัจจุบัน 

ค. มีการเข้มงวดตรวจคัดกรองและแยกตัวออกทันที ที่วินิจฉัยได้ว่ามีการติดเชื้อไม่ว่าจะเป็นสายพันธุ์ใดก็ตาม 

 

2. แรงกดดันที่สำคัญอีกประการคือ การใช้วัคซีน เป็นจำนวน "มหาศาลในเวลารวดเร็ว" ให้แก่ประชากรมากกว่าที่คิดตัวเลข 60% แต่เป็นเกือบทั้งประเทศ ยกเว้นในเด็กซึ่งในระยะแรกข้อมูลความปลอดภัยอาจจะยังไม่พอ 

 

แต่ในปี 2564 นี้เอง ที่ประเทศจีนใช้วัคซีนที่มีอยู่ดั้งเดิมที่เป็นเชื้อตายฉีดให้แก่เด็กด้วย ตั้งแต่เดือน มิถุนายน และในที่สุดตามด้วยวัคซีนเทคโนโลยีอื่น ทั้งแบบแอสตร้าฯ และไบโอเอนเทค 

 

การให้วัคซีนอย่างเข้มข้นเช่นนี้ เป็นการปิดโอกาสหรือเปิดโอกาสน้อยที่สุดให้กับไวรัสที่จะมีการแพร่กระจายจากคนสู่คนไปเป็นลูกโซ่และกดดันไม่ให้มีการกลายพันธุ์ หรือรหัสพันธุกรรมเพี้ยน จนกระทั่งสามารถตั้งตัวกลายเป็นสายพันธุ์ใหม่ 

 

"หมอธีระวัฒน์" เตือนอย่าชะล่าใจ ระวังคลื่นลูกใหม่ใหญ่กว่าเก่า

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ