ไฟเขียวแผนจัดสรรน้ำฤดูแล้ง 2563/64 เผยปริมาณน้ำต้นทุนมากกว่าปีที่ผ่านมาเล็กน้อย "บิ๊กป้อม" สั่งคุมเข้ามการบริหารจัดการน้ำให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ พร้อมคลอด 9 มาตรการรับมือสถานการณ์น้ำก่อนเข้าสู่ฤดูแล้ง มั่นใจน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคเพียงพอ
พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ เปิดเผยว่าเมื่อเร็วๆนี้ คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำ ได้เห็นชอบแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 (1 พ.ย. 63 - 30 เม.ย. 64) ที่จัดสรรสอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน โดยวางลำดับความสำคัญของกิจกรรมการใช้น้ำ ดังนี้
1.เพื่ออุปโภค-บริโภค 2.รักษาระบบนิเวศ 3.เพื่อการเกษตรกรรม และ 4.เพื่อการอุตสาหกรรม ทั้งนี้จากการประเมินปริมาณน้ำต้นทุน ณ วันที่ 1 พ.ย.63 พบว่า จะมีปริมาณน้ำใช้การทั้งประเทศ จำนวน 41,879 ล้านลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) สามารถนำมาจัดสรรน้ำในฤดูแล้ง ปี 2563/64 ทั้งประเทศ รวม 22,847 ล้านลบ.ม. ที่เหลือเป็นปริมาณน้ำสำรองน้ำไว้ใช้ในช่วงต้นฤดูฝนระหว่างเดือนพฤษภาคมถึงกรกฎาคม 2564 จำนวน 19,032 ล้าน ลบ.ม.
“ปริมาณน้ำต้นทุนในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมามีปริมาณมากกว่าเล็กน้อยเท่านั้น จำเป็นจะต้องใช้น้ำอย่างประหยัดและให้เกิดประโยชน์สูงสุด โดยเฉพาะพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา 22 จังหวัด ที่น้ำต้นทุนจากเขื่อน 4 แห่ง คือ เขื่อนภูมิพล เขื่อนสิริกิติ์ เขื่อนแควน้อยบำรุงแดนฯ และเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ซึ่งพบว่า มีปริมาณน้ำต้นทุนในเขื่อนทั้ง 4 แห่งดังกล่าวรวมกันใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา ดังนั้นจึงสามารถจัดสรรน้ำได้เฉพาะการอุปโภค-บริโภค รักษาระบบนิเวศ และเกษตรต่อเนื่อง (ไม้ผลไม้ยืนต้น) เท่านั้น ส่วนการจัดสรรน้ำจากอ่างเก็บน้ำอื่น ๆ นั้น ให้คณะกรรมการจัดการน้ำชลประทาน (JMC) ในพื้นที่วางแผนจัดสรรน้ำในช่วงฤดูแล้งให้สอดคล้องกับปริมาณน้ำต้นทุน โดยได้สั่งการให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการให้เป็นไปตามมาตการที่กำหนดอย่างเคร่งครัด เฉพาะอย่างยิ่งน้ำเพื่อการอุปโภคบริโภคในฤดูแล้งที่จะถึงนี้ต้องไม่มีปัญหา” รองนายกฯ กล่าว
นอกจากนี้ คณะอนุกรรมการอำนวยการด้านบริหารจัดการทรัพยากรน้ำยังได้เห็นชอบ 9 มาตรการหลักรับรองสถานการณ์ขาดแคลนน้ำก่อนเข้าสู่ฤดูแล้ง ได้แก่ 1.เร่งเก็บกักน้ำไว้ในแหล่งน้ำต่าง ๆ ก่อนสิ้นสุดฤดูฝน 2.จัดหาแหล่งสำรองน้ำดิบในพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ พร้อมวางแผนวางท่อน้ำประปาจากการประปาส่วนภูมิภาคสาขาข้างเคียง และแผนรับน้ำดิบจากอ่างเก็บน้ำโดยตรง 3.ปฏิบัติการเติมน้ำให้กับแหล่งน้ำในพื้นที่เกษตรและพื้นที่เสี่ยงขาดแคลนน้ำ 4. กำหนดปริมาณน้ำจัดสรรในฤดูแล้งที่ชัดเจน มีการติดตามกำกับให้เป็นไปตามแผน เพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบการขาดแคลนน้ำด้านอุปโภคบริโภค พร้อมจัดทำทะเบียนผู้ใช้น้ำ 5.เฝ้าระวังคุณภาพน้ำในแม่น้ำสายหลัก สายรอง 6.วางแผนการเพาะปลูกพืชฤดูแล้งที่ชัดเจน รวมถึงมาตรการควบคุมการสูบน้ำ การแย่งน้ำ กรณีไม่อาจสนับสนุนน้ำเพื่อการเกษตรได้ให้มีการกำหนดมาตรการเยียวยาผลกระทบที่รวดเร็วและชัดเจน 7.ส่งเสริมให้ภาคอุตสาหกรรมใช้ระบบ 3R เพื่อให้เกิดการใช้น้ำอย่างคุ้มค่า 8.ติดตามประเมินผลการใช้น้ำให้เป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้ และ 9.สร้างการรับรู้สถานการณ์น้ำและแผนการจัดสรรน้ำอย่างต่อเนื่อง ให้ทุกภาคส่วนเกิดความร่วมมือในการใช้น้ำอย่างประหยัด
ดร.สมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ(สทนช.)เปิดเผยว่า ในฤดูแล้งปี2563/64 ได้คาดการณ์พื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำ โดยในด้านน้ำเพื่ออุปโภค-บริโภค พบว่า ในเขตการให้บริการของการประปาส่วนภูมิภาค (กปภ.) มีความเสี่ยงที่ต้องเฝ้าระวัง จำนวน 41 สาขาในพื้นที่ 28 จังหวัด ส่วนในเขตการให้บริการของประปาท้องถิ่นมีพื้นที่เสี่ยงจำนวน 50 จังหวัด 334 อำเภอ 966 ตำบล และในด้านการเกษตร มีพื้นที่เฝ้าระวังขาดแคลนน้ำในช่วงฤดูแล้ง จำนวน 45 จังหวัด 176 อำเภอ 489 ตำบล นอกจากนี้ยังมีที่เสี่ยงต่อการรุกล้ำของเค็มจำนวน 4 แห่ง คือ แม่น้ำเจ้าพระยา บริเวณสถานีสูบน้ำสำแล (กปน.) แม่น้ำท่าจีน บริเวณสถานีปากคลองจินดา แม่น้ำแม่กลอง บริเวณสถานีปากคลองดำเนินสะดวก และแม่น้ำบางปะกง บริเวณสถานีบ้านสร้าง
“เพื่อให้การขับเคลื่อนมาตรการต่าง ๆ ในการป้องกันและแก้ไขปัญหาช่วงฤดูแล้งต่อเนื่องถึงต้นฤดูฝนหน้าได้ตามแผน ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถนำไปปฏิบัติในเชิงป้องกันเพื่อลดผลกระทบจากสถานการณ์แล้งที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตในพื้นที่เฝ้าระวังเสี่ยงขาดแคลนน้ำข้างต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสร้างการรับรู้และประชาสัมพันธ์สถานการณ์ให้ภาคส่วนเกี่ยวข้องและประชาชนได้รับทราบล่วงหน้า สทนช. จะเสนอแผนการจัดสรรน้ำและการเพาะปลูกพืชฤดูแล้ง ปี 2563/64 และ 9 มาตรการหลักป้องกันและแก้ไขปัญหาฤดูแล้งที่ผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมครั้งนี้ นำเสนอเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีในเร็ว ๆ นี้” ดร.สมเกียรติ กล่าว
ข่าวที่เกี่ยวข้อง