ปมอันตราย สมคิด...จิตใต้สำนึก นักโทษ 5 ข. โดย... ทีมข่าวรายงานพิเศษ
“สมคิด พุ่มพวง” อดีตนักโทษผู้มีพฤติกรรมเป็น "ฆาตกรต่อเนื่อง" (serial killer) ได้ก่อคดีสะเทือนขวัญอีกครั้งหลังถูกปล่อยออกมาจากคุกเพียงไม่กี่เดือน สะท้อนให้เห็นจุดอ่อนสำคัญของ “กรมราชทัณฑ์” เกี่ยวกับกระบวนการปล่อยตัวนักโทษออกสู่สังคม โดยเฉพาะการขาดหายไปของขั้นตอนเยียวยา “ปมอันตราย” ที่ฝังลึกในจิตใจ ส่งผลให้เกิด “ปัญหานักโทษติดคุกซ้ำ” จำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี..
ปี 2548 ศาลตัดสินให้ “สมคิด” รับโทษจำคุกตลอดชีวิต หลังก่อเหตุสะเทือนขวัญฆ่าบีบคอผู้หญิงไป 5 ศพ แต่ระหว่างอยู่ในเรือนจำได้รับลดหย่อนเหลือเพียง 14 ปี วันที่ 27 พฤษภาคม 2562 ได้รับการปล่อยตัว ผ่านไปเพียง 6 เดือนกว่า วันที่ 15 ธันวาคม ที่ผ่านมา ได้ก่อคดีอุกฉกรรจ์ฆ่ารัดคอหญิงวัย 51 ปี ที่ จ.ขอนแก่น กลายเป็นศพที่ 6
ทำให้เกิดคำถามมากมายที่กดดัน “กรมราชทัณฑ์” ว่าทำไมถึงเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นได้? โดยเฉพาะกระบวนการคัดกรองก่อนปล่อยตัวนักโทษคดีสะเทือนขวัญ
ก่อนอื่นต้องเข้าใจว่านักโทษที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำนั้นในแต่ละปีไม่ได้มีแค่นักโทษใหม่เท่านั้น แต่ยังมีนักโทษที่เคยติดคุก หรือผู้ถูกปล่อยตัวออกไปแต่ไปก่อคดีใหม่ต้องถูกจับเข้ามาคุมขังไว้อีก “นักโทษติดซ้ำ” เป็นส่วนหนึ่งของปัญหานักโทษล้นคุก
เรือนจำทั่วประเทศไทย 143 แห่ง สามารถรับผู้ต้องขังสูงสุด 1.2 แสนคน แต่จำนวนผู้ที่ถูกขังอยู่ในนั้นมีมากถึง 3.7 แสนคนเกินไปถึง 2 เท่า ทำให้การดูแลไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะการดูแลกลุ่มนักโทษที่ก่อเหตุสะเทือนขวัญที่พ้นโทษที่ต้องกลับออกไปใช้ชีวิตตามปกติเหมือนคนทั่วไป
ล่าสุด พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์ อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ออกมายอมรับว่าไม่สามารถดูแลผู้ต้องขังทั่วประเทศกว่า 3.7 แสนคนได้ทั้งหมด พร้อมกล่าวแสดงความเสียใจต่อญาติผู้เสียชีวิตและขอโทษสังคมที่กรมราชทัณฑ์ไม่สามารถแก้ไขฟื้นฟู "พฤตินิสัย" ของนายสมคิดให้กลับมาเป็นคนดีได้
ทั้งนี้ การฟื้นฟูพัฒนา “พฤตินิสัย” หมายถึง การปรับเปลี่ยน พฤติกรรมและ นิสัย ของผู้กระทำผิดคดีอาชญากรรมร้ายแรง เช่น ฆ่า ข่มขืน ก่อการร้าย ฯลฯเนื่องจากคนกลุ่มนี้ส่วนใหญ่สะสมพฤติกรรมความคิดและจิตสำนึกผิดทำนองคลองธรรมมาเป็นระยะเวลายาวนาน หลักกฎหมายสากลจึงระบุให้ต้อง “สงเคราะห์ผู้ต้องขัง” Pre-release Prisoner (PRP) ด้วยการช่วยพัฒนาพฤตินิสัยเปลี่ยนแปลงความคิดและพฤติกรรมผู้ต้องขังให้เป็นปกติก่อนปล่อยตัว
ทุกเรือนจำทั่วโลกจึงมีกิจกรรมหรือ โครงการเตรียมความพร้อมก่อนปล่อยผู้ต้องขังพ้นโทษ คนไทยเรียกกันสั้นๆ ว่า “คืนคนดีสู่สังคม” เช่น การอบรมด้านคุณธรรม อบรมจริยธรรม ฝึกอาชีพ จัดหาแหล่งงาน ฯลฯ โดยเป้าหมายสำคัญคือ “ไม่ให้หวนกลับไปทำผิดกฎหมายซ้ำอีก”
ตัวอย่างเช่น 8 โครงการสำคัญ ได้แก่ 1.โครงการบำบัดฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ต้องขังเสพยาเสพติดในรูปแบบวิวัฒน์พลเมืองราชทัณฑ์ 2.โครงการบำบัดและฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยาเสพติดในรูปแบบชุมชนบำบัด 3.การบำบัดรักษาและฟื้นฟูจิตใจเยาวชนสมาชิกใครติดยายกมือขึ้นตามแนวทางพระราชดำริโครงการ “ทูบีนัมเบอร์วัน” 4.โครงการพักการลงโทษกรณีมีเหตุพิเศษ 5.โครงการเสริมสร้างสมรรถนะทั้งทางร่างกายและจิตใจแก่ผู้ต้องขังด้วยการอบรมศีลธรรมจริยธรรมทางศาสนา กิจกรรม ดนตรี กีฬา นันทนาการ 6.โครงการแนวทางการพัฒนาและส่งเสริมให้เรือนจำดำเนินการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขัง 7.โครงการฝึกวิชาชีพผู้ต้องขังในลักษณะการจ้างแรงงาน และ 8.โครงการการจัดการศึกษาให้แก่ผู้ต้องขัง
ข้อมูลจาก “ทีดีเจ” (TDJ) หรือทีมอาสาสมัครชมรมเครือข่ายนักสื่อสารข้อมูลเชิงลึกแห่งประเทศไทย ซึ่งนำข้อมูลตัวเลขผู้ต้องขังจากกรมราชทัณฑ์มาวิเคราะห์ ระบุว่า จากข้อมูลปี 2559 พบนักโทษทั้งหมดทั่วประเทศ 317,513 คนได้รับการปล่อยตัว 115,161 คน ในจำนวนนี้มีเพียง 12,422 คน หรือร้อยละ 4 เท่านั้นที่มีโอกาสเข้าร่วมโครงการอบรมเตรียมความฯ
นอกจากนี้ “ทีดีเจ” ได้วิเคราะห์สถิติย้อนหลัง 3 ปี พบว่าจำนวนผู้ติดคุกซ้ำเพิ่มขึ้นเฉลี่ยปีละประมาณ 1.2 หมื่นคน โดยปี 2556 มีนักโทษติดคุกซ้ ำ13,442 คน ปี 2557 เพิ่มเป็น 24,225 คน หมายถึงเพิ่มขึ้นจากปี 2556 ถึง 10,783 คน หรือร้อยละ 80 ส่วนปี 2558 มีผู้ติดคุกซ้ำ 35,335 คนเพิ่มขึ้นจากปี 2557 จำนวน 11,110 คน หรือร้อยละ 46 ขณะที่ข้อมูลปี 2559 มีผู้ติดคุกซ้ำ 49,481 คน
ดร.วัลลภ ปิยะมโนธรรม นักจิตวิทยาชื่อดังที่ร่วมก่อตั้งศูนย์พัฒนาความสุขมนุษย์ มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ วิเคราะห์ให้ “คม ชัด ลึก” ฟังเกี่ยวกับปัญหานักโทษถูกปล่อยออกไปแล้วยังก่อคดีร้ายแรงว่า
ที่ผ่านมาเรือนจำส่วนใหญ่ทั่วโลกโดยเฉพาะประเทศไทยยังใช้วิธีไม่ถูกต้องในการคุมขังนักโทษ เพราะเป็นรูปแบบ “ลงโทษด้วยความรุนแรง” บังคับคุมขัง ให้กินอยู่หลับนอนด้วยความทรมาน หรือทำให้เกิดความยากลำบาก ซึ่งวิธีการเหล่านี้ไม่ได้ผลแล้ว ปัจจุบันมีงานวิจัยจำนวนมากที่พิสูจน์ว่าการลงโทษด้วยความรุนแรงยิ่งก่อให้เกิดปัญหามากขึ้น
“ผมศึกษางานวิจัยเป็นร้อยๆ ชิ้น ผลสรุปคล้ายกันว่า การลงโทษจับไปคุมขังเพื่อให้เกิดความทรมานยิ่งจะทำให้นักโทษรู้สึกเจ็บปวดลึกๆ กลายเป็นความรุนแรงที่เก็บกดสะสมอยู่ลึกๆ ภายในจิตใจ มีโอกาสเมื่อไรก็จะหาทางระบายออกมาด้วยการทำร้ายคนอื่น หรือทำผิดกฎหมายอื่น ยิ่งติดคุกนาน ยิ่งสะสมความเจ็บปวดไว้มาก สุดท้ายก็ถูกจับมาติดคุกซ้ำ เพราะเรือนจำไม่ได้เยียวยาพวกเขาอย่างถูกวิธี”
ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาข้างต้นอธิบายต่อว่า การปรับเปลี่ยนพฤตินิสัย “ผู้ต้องขัง” ต้องใช้หลายวิธีการควบคู่กันไป เช่น ให้เข้าร่วมกิจกรรมที่มีโอกาสได้ทำคุณความดีต่อสังคม เพื่อทำให้ “จิตใจ” รู้สึกดีขึ้น ทำให้รู้สึกว่าตัวเองได้ทำประโยชน์แก่ผู้อื่น ไม่ใช่สั่งให้นั่งๆ นอนๆ ในห้องขังคับแคบแออัดตลอดทั้งวัน และที่สำคัญคือการเยียวยาฟื้นฟูแก้จุดอ่อนใน “จิตใต้สำนึก”
"สำหรับนักโทษที่มีพฤติกรรมทำร้ายคนอื่นอย่างรุนแรง ที่เรียกกันว่า 5 ข. คือ ข่มขวัญ ข่มขี่ ข่มเหง ข่มขู่ และข่มขืน ต้องใช้เทคนิคพิเศษ ฝรั่งเรียกว่า Healing Trauma หรือ การฟื้นฟูความสะเทือนขวัญ เหมือนที่คนโบราณเรียกว่าขวัญหาย ต้องให้ขวัญนั้นกลับมาให้ได้ หมายถึงการไปเรียกเซลล์ที่ดีๆ ในตัวพวกเขาออกมา เป็นกระบวนการปรับความคิดที่อยู่ในจิตใต้สำนึก นักโทษต้องฟื้นฟูเยียวยาจุดอ่อนนี้ให้ได้ ไม่ใช่แค่ฝึกอาชีพหรือหางานใหม่ให้ทำเท่านั้น"
ดร.วัลลภ กล่าวแนะนำเพิ่มว่า รัฐบาลต้องสนับสนุนให้กรมราชทัณฑ์จัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านนี้โดยตรงโดยเฉพาะการรักษานักโทษกลุ่มพฤติกรรมรุนแรง 5 ข. ต้องใช้วิธีการรักษาจิตใต้สำนึก เพื่อให้เชื่อใจได้ว่าจะไม่กลับมาก่อคดีซ้ำอีก
ที่ผ่านมากรมราชทัณฑ์มักอ้างว่าไม่มีงบประมาณทำโครงการคืนคนดีสู่สังคม แต่จากคดีตัวอย่าง “สมคิด ฆาตกรต่อเนื่อง”
คนไทยคงต้องช่วยกันจุดประกายให้รัฐบาลเร่งรีบทำ “โครงการฟื้นฟูจิตใต้สำนึก” และควรจัดสรรงบประมาณให้เหมาะสมเพียงพอด้วย ก่อนที่จะมี “สมคิด” คนที่ 2 3 4 5 ...
ข่าวที่เกี่ยวข้อง