ส่องการเมือง 'เชียงราย' ต่อจิ๊กซอว์ 'ย้ายผู้ว่าฯณรงค์ศักดิ์'

 

                   เดิม “เชียงราย” เป็นจังหวัดที่อยู่ในแผนการจัดประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรครั้งต่อไปของ “บิ๊กตู่” แต่ด้วยเหตุทุกหน่วยงานสาละวนอยู่กับปฏิบัติการช่วยเหลือ “ทีมหมูป่าติดถ้ำหลวง” ทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจนำ ครม.สัญจรไปที่อุบลราชธานีช่วงปลายเดือนนี้แทน

 

                   แน่นอนทุกครั้งที่ ครม.ของ พล.อ.ประยุทธ์ จะไปสัญจรที่ไหน ก็จะมีการจับตาสนามการเมือง ณ พื้นที่นั้นๆ มีการวิเคราะห์กันว่าการล็อกพื้นที่ ครม.สัญจรแต่ละครั้ง เป็นการล็อกเป้าหมายทางการเมืองด้วย ซึ่งตอนนี้สนามการเมืองที่อุบลฯ ก็ระอุ ขึ้นมาทันที

 

(อ่านต่อ...นี่แหละ !! ต้นเหตุ "บิ๊กตู่" ต้องไปสัญจรอุบลฯ)

 

                   วกกลับมาดูที่เชียงราย ถึงแม้ ครม.สัญจร ครั้งนี้จะเปลี่ยนไปอุบลฯ แล้ว แต่ในทางการเมืองก็ยังมีคำถามน่าสนใจ ทำไมจึงเลือกเชียงราย และต่อไปยังจะวกกลับมาที่เชียงรายอีกหรือไม่ ?

                   สนามการเมืองเชียงราย จัดว่าเป็น “พื้นที่สีแดงเข้ม" โดย “พรรคทักษิณ” ครองพื้นที่นี้แบบเบ็ดเสร็จมาตั้งแต่ปี 2544 คือ ยุคพรรคไทยรักไทย มาจนพรรคไทยรักไทยถูกยุบ เปลี่ยนมาเป็นพรรคพลังประชาชน และพรรคพลังประชาชนถูกยุบ เปลี่ยนเป็นพรรคเพื่อไทย ก็ยังสามารถครองเก้าอี้ ส.ส.ทุกที่นั่งในจังหวัดนี้

                   สำหรับสนาม ส.ส.ที่เชียงราย ครั้งต่อไปจะยังคงมี ส.ส. 7 คนเหมือนเดิม คนในพรรคเพื่อไทยยืนยันว่าพื้นที่เชียงรายไม่มีปัญหา “รอยปริ” ผู้สมัครแต่ละคนยังเหนียวแน่นกับพรรค และต่างคนก็ต่างดูแลพื้นที่ตัวเอง ไม่มีปัญหาปีนเกลียวกัน ไม่เหมือนพื้นที่เมืองเลย และพื้นที่อุบลฯ ที่มีปัญหาสองกลุ่มสองตระกูลอยากจะขอจัด ส.ส.แบบยกจังหวัด จนเกิดความขัดแย้ง และเป็นช่องให้ “พรรคพลังประชารัฐ” เข้าไปแทรกผ่านพลังดูดของ “กลุ่มสามมิตร”

                   แต่ที่น่าสนใจคือสนามการเมืองท้องถิ่น ที่คนของตระกูล “จงสุทธานามณี” เข้ามาเบียดชิงกับตระกูล “ติยะไพรัช” ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ “ยงยุทธ ติยะไพรัช” แกนนำคนสำคัญของพรรค

                   ในส่วนของนายก อบจ.เชียงราย ตอนนี้ปลัด อบจ.เป็นผู้รักษาการ หลังจากคนในตระกูล “ติยะไพรัช” โดนใบแดงใบเหลืองจนต้องกระเด็นกระดอนออกจากตำแหน่ง

                   เดิม “รัตนา จงสุทธานามณี” อดีต ส.ส.หลายจากพรรคชาติพัฒนา ซึ่งตอนหลังเบนเข็มมาเล่นการเมืองท้องถิ่น ครองตำแหน่งนายก อบจ.มา 2 สมัย คือปี 2547 และ 2551 โดยชนะ “สลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช” (ชื่อเดิมคือ สลักจิต) ภรรยาของยงยุทธ จนกระทั่งปี 2555 ภรรยาของยงยุทธ พลิกมาเอาชนะได้

                   แต่ในเดือนมีนาคม 2557 ภรรยายงยุทธ ต้องพ้นจากตำแหน่ง หลังศาลฎีกาพิพากษาจำคุก เป็นเวลา 2 ปี 6 เดือน และเพิกถอนสิทธิทางการเมืองเป็นเวลา 10 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ก่อน ในคดีแจ้งความอันเป็นเท็จต่อเจ้าพนักงานอันสืบเนื่องมาจากการเลือกตั้งปี 2547 โดยนางรัตนา เป็นโจทก์

                   เป็นการ “โดนใบแดง” หลังจากที่ผู้เป็นสามีก็โดนคดีทุจริตเลือกตั้ง จนส่งผลให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบไปในปี 2553

 

ยงยุทธ - สลักจฤฎดิ์ (ขอบคุณภาพจากเพจสลักจฤฏดิ์ ติยะไพรัช)

                   หลังภรรยาโดนคดีจนต้องพ้นตำแหน่ง ยงยุทธได้ส่งพี่สาวคือ “บุษริณธญ์ วรพัฒนานันท์” (ติยะไพรัช) ลงสมัครและเอาชนะรัตนาได้ ซึ่งเป็นการเลือกตั้งเมื่อ 11 พฤษภาคม 2557 ก่อน คสช.ยึดอำนาจไม่กี่วัน

                   แต่หลังจากนั้นพี่สาวยงยุทธ ก็โดน “ใบเหลือง” ต้องพ้นจากตำแหน่งนายก อบจ. ไปในปี 2558 ซึ่งตอนนั้นมีคำสั่ง คสช.เรื่องระงับการเลือกตั้งท้องถิ่นไว้แล้ว จึงไม่ได้มีการเลือกตั้งใหม่จนถึงปัจจุบัน

                   ส่วนเทศบาลนครเชียงรายนั้น ตอนนี้สามีรัตนา คือ “วันชัย จงสุทธานามณี” ดำรงตำแหน่งรักษาการนายกเทศมนตรีอยู่ ซึ่งก็เป็นไปตามคำสั่ง คสช.ที่ให้นักการเมืองท้องถิ่นที่หมดวาระอยู่ในตำแหน่งต่อไป

 

วันชัย - รัตนา (ขอบคุณภาพจากเพจเทศบาลนครเชียงราย)

 

                   ย้อนความกันนิดนึง ก็เป็นโครงการก่อสร้างช้างคู่บารมีพญามังรายบนเกาะกลางแม่น้ำกกของนายกเทศมนตรีคนนี้แหละ ที่อดีตผู้ว่าฯ เชียงราย “ณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร” ไม่ยอมเซ็นอนุมัติให้ เพราะเห็นว่ามีปัญหารุกล้ำลำน้ำ หากเซ็นก็เท่ากับทำผิดไปด้วย เรื่องนี้เป็นข่าวออกมาในเดือนมีนาคม 2561

                   ครั้งนั้นผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ ยังพูดอีกหลายประโยคที่ถูกบันทึกเอาไว้

                   “ผมเป็นผู้ว่าฯ ผมมีหน้าที่คุมทุกอย่างให้เป็นไปตามกฎกติกา ท่านรู้ไหมเชียงรายที่ผ่านมาศักยภาพมันควรจะเจริญขนาดไหน งบประมาณ 100 บาทมันควรจะลงให้ถึง 100 บาทหรืออย่างน้อย 90 บาท วันนี้ลงแค่ 30-40 บาท เขาถึงส่งผมมา วันนี้ 20 กว่าโครงการผมเซ็นไม่ได้เพราะมันผิดกติกาหมด ผมยอมไปที่ไหนก็ได้แต่ผมจะไม่ยอมเซ็นโครงการที่ผิดเพราะรู้ว่าผิด ผมยอมย้ายไปที่ไหนก็ได้ถ้าไปแล้วไม่ปวดหัวอย่างนี้”

 

"ผู้ว่าเชียงราย" ไม่เซ็นสร้าง"อนุสาวรีย์พญามังราย" กลางน้ำกก (คลิกอ่านต่อ...)

 

                   ต่อมาในเดือนเมษายน คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการกระทรวงมหาดไทยระดับสูง ตามที่ทางกระทรวงเสนอ จำนวน 12 คน ซึ่งในจำนวนนี้มีผู้ว่าฯ เชียงรายรวมอยู่ด้วย โดย “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” ถูกย้ายไปเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดพะเยา ซึ่งถือว่าเป็นการลดเกรด เพราะจังหวัดพะเยาเป็นจังหวัดที่เล็กกว่าเชียงราย

                   จริงๆ ตอน ครม.มีมติโยกย้ายผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ เมื่อเดือนเมษายน ก็ไม่ได้เป็นข่าวใหญ่โตอะไร แต่เรื่องนี้มาเป็นประเด็นเมื่อเกิดกรณี “ทีมหมูป่าติดถ้ำหลวง” และผู้คนทั่วประเทศได้เห็นฝีมือและความมุ่งมั่นในการทำงานของท่าน

                   จึงเกิดคำถามถึงสาเหตุการสั่งย้ายผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์ โดยเฉพาะในเมื่อครั้งแรกที่ท่านมาเป็นผู้ว่าฯ เชียงราย ก็ด้วยคำสั่ง คสช. ที่ให้มาเพราะผู้ว่าฯ คนเดิมมีปัญหาเรื่องทุจริต

                   เพราะไปขวางเรื่องที่มีปัญหาทุจริตหรือไม่ จึงทำให้ผู้ว่าฯ ถูกย้ายออกจากพื้นที่ เป็นคำถามที่เกิดขึ้นมา

                   “การปรับย้ายเป็นไปตามปกติ ไม่ได้หมายความว่าทำงานดีหรือไม่ดี ท่านเป็นคนดี ไปที่ไหนก็เจริญ ไม่ได้หมายความว่ามีข้อบกพร่อง แค่เราต้องการให้คนที่มีฝีมือไปทำงานในพื้นที่ที่ยังไม่มีการพัฒนามากนัก เพื่อให้เกิดการพัฒนาที่ดีขึ้น" คำอิบายของนายกฯ ลุงตู่ เมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม ที่ผ่านมา

                   ท่ามกลางกระแสดูด จึงอดไม่ได้ที่จะมีการเชื่อมโยงว่า นอกจากเรื่องปัญหาทุจริตคอร์รัปชั่นแล้ว การย้าย “ผู้ว่าฯ ณรงค์ศักดิ์” ยังมีเป้าประสงค์ทางการเมืองใดด้วยหรือไม่ ??

 

====================

โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์

 

รู้ป่าว ?? ผู้ว่าฯเชียงราย "ตงฉิน" จนโดนเด้ง !!?? (คลิกอ่านต่อ...)