ข่าว

ศาลฏีกาฯวินิจฉัยอุทธรณ์รอลงอาญา สุรพงษ์ 2 ปี ปรับ 1 แสน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลฏีกาฯพิพากษายืนจำคุก 2 ปี สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล คดีออกพาสปอร์ตให้ ทักษิณ แต่ให้รอลงอาญาเหตุป่วยมะเร็งต่อมน้ำเหลือง และเพิ่มโทษปรับ 1 แสนบาท

 

                วันที่ 10 ต.ค. 2562 นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ถูกพิพากษาให้จำคุก 2 ปี แต่โทษจำคุกให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี และให้ปรับเป็นเงิน 1 แสนบาท ในชั้นวินิจฉัยอุทธรณ์ ของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157

 

 

 

                องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์มีคำพิพากษาในสาระสำคัญว่า การแจ้งข้อกล่าวหาและไต่สวนคดีนี้ชอบแล้ว นายทักษิณถูกศาลพิพากษาจำคุกและถูกออกหมายจับในคดีร้ายแรงอีกหลายคดี การปลดชื่อนายทักษิณออกจากบัญชีรายชื่อที่ต้องตรวจสอบก่อนออกหนังสือเดินทางที่อยู่ในระบบคอมพิวเตอร์และออกหนังสือเดินทางให้กับนายทักษิณจึงไม่ถูกต้อง

                การที่จำเลยเกษียณสั่งในใบบันทึกทันทีและเสร็จสิ้นทั้งกระบวนการในวันเดียวกันจึงเชื่อว่าจำเลยมีส่วนร่วมรู้เห็นในการออกหนังสือเดินทางนี้มาตั้งแต่ต้น จำเลยในฐานะรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดในกระทรวง มีอำนาจให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการในกระทรวงได้ ประกอบกับหลักการบริหารราชการแผ่นดินรัฐมนตรีสามารถมอบนโยบายให้กับผู้ใต้บังคับบัญชานำไปปฏิบัติ รัฐมนตรีจึงเป็นเจ้าพนักงานมีส่วนเกี่ยวข้องในหน้าที่ดังกล่าวและหากการกระทำนั้นเป็นไปโดยมีเจตนาที่จะทำต่อกฎหมายโดยตรงแล้วผู้สั่งการก็ย่อมต้องรับผิดชอบด้วยจำเลยจะต้องรับผิดฐานเป็นเจ้าพนักงานปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบตามฟ้อง

                ส่วนประเด็นที่จำเลยอุทธรณ์ขอให้ลงโทษสถานเบาและรอการลงโทษนั้น องค์คณะวินิจฉัยอุทธรณ์เสียงข้างมากเห็นว่า จำเลยเป็นนักการเมืองที่มีประสบการณ์ในการทำงานมาอย่างยาวนานหลายด้าน จนได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ แต่จำเลยกลับมีพฤติกรรมในการช่วยเหลือบุคคลที่ถูกศาลพิพากษาถึงที่สุดให้ลงโทษจำคุก อยู่ระหว่างการออกหมายจับเพื่อบังคับโทษตามคำพิพากษาและยังมีคดีที่อยู่ระหว่างการดำเนินกระบวนการพิจารณาอีกหลายคดี โดยจำเลยย่อมทราบดีว่าการที่นายทักษิณได้รับหนังสือเดินทางที่จะทำให้นายทักษิณสามารถหลบหนีการติดตามจับกุมได้โดยสะดวกอันเป็นการขัดขวางกระบวนการยุติธรรมอย่างหนึ่ง

 

 

 

                การที่ศาลกำหนดโทษจำเลยให้โทษจำคุก 2 ปี จึงนับว่าเหมาะสมแก่พฤติการณ์แห่งความผิดแล้ว แต่อย่างไรก็ตามไม่ปรากฏว่าจำเลยเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนเมื่อได้คำนึงถึงอายุ ประวัติ ความประพฤติ สภาพความผิด ประกอบกับได้ความว่าหลังจากศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2561 จำเลยมีอาการเจ็บป่วยด้วยโรคหัวใจ เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง และโรคมะเร็ง ซึ่งโรคมะเร็งได้กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่คอและช่องท้อง จำเลยต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลอย่างต่อเนื่องอันเป็นพฤติการณ์ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงเห็นควรให้โอกาสจำเลยได้รอการลงโทษจำคุกและให้ลงโทษปรับอีกสถานหนึ่ง โดยให้ลงโทษปรับ 1 แสนบาท ส่วนโทษจำคุกให้รอลงโทษไว้มีกำหนด 2 ปีนับตั้งแต่วันที่มีคำพิพากษา

                สำหรับคดีนี้ อัยการสูงสุดเป็นโจทก์ยื่นฟ้องนายสุรพงษ์ เป็นจำเลย ในความผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ ฐานปฏิบัติหน้าที่มิชอบฯ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ชี้มูลความผิดทางอาญา ต่อนายสุรพงษ์ กรณีออกหนังสือเดินทางให้กับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ซึ่งถูกออกหมายจับในคดีร่วมกับกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. ก่อการร้าย และคดีอื่นๆ ขัดต่อระเบียบข้อบังคับกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 ข้อ 21 (2),(3) และ (4)

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ