ข่าว

เตือนสหรัฐฯอาจเผชิญความมืดมิด หากไม่พัฒนาวิธีรับมือโควิด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อดีต ผอ.สำนักวิจัยและพัฒนาขั้นสูงด้านชีวการแพทย์ เตือนสหรัฐฯอาจเผชิญ "ฤดูหนาวสุดมืดมิดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่" หากไม่พัฒนาวิธีรับมือไวรัสโรคโควิด-19

 

เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ได้วิพากษ์วิจารณ์ทำเนียบขาว เกี่ยวกับการจัดการกับการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ (โควิด-19) พร้อมเตือนว่า สหรัฐฯต้องเผชิญกับ "ฤดูหนาวที่มืดมนที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่" หากประเทศชาติล้มเหลวในการเตรียมพร้อมรับมือการกลับมาของไวรัส

 

ริก ไบรต์ (Rick Bright) อดีตผู้อำนวยการสำนักวิจัยและพัฒนาขั้นสูงด้านชีวการแพทย์ (BARDA) สังกัดกระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐฯ (HHS) ได้แจ้งทำเนียบขาวให้พิจารณาคดีเกี่ยวกับคำเตือนของเขาว่าจะเกิดการขาดแคลนหน้ากากและอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลอื่นๆ ซึ่งถูกเพิกเฉยโดยเจ้าหน้าที่ระดับสูงมาหลายต่อหลายครั้ง

 

"ผมถูกเมินเฉย และถูกตอบกลับมาว่า พวกเขายุ่งมาก ไม่มีแผนจัดการเรื่องนี้ และพวกเขาไม่รู้ว่าใครเป็นผู้รับผิดชอบการจัดซื้อสิ่งเหล่านั้น ข้อแก้ตัวเยอะมาก แต่กลับไม่มีการดำเนินการใดๆ"

 

อ่านข่าว อัปเดตสถานการณ์โควิด-19 ทั่วโลกประจำวันที่ 16 พฤษภาคม 2563

 

 

ไบรต์ ยื่นเรื่องร้องเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว และกล่าวว่า เขาถูกถอดออกจากตำแหน่งผู้อำนวยการ ที่มีบทบาทสำคัญในการผลักดันการพัฒนาวัคซีนในเดือนเมษายน เนื่องจากเขาต่อต้านการใช้ยาคลอโรวิน (chloroquine) ในวงกว้าง ซึ่งเป็นยาที่ทำเนียบขาวโน้มน้าวให้มีการนำมาใช้รักษาผู้ป่วยโรคโควิด-19 อยู่บ่อยครั้ง

 

เมื่อวันพฤหัสบดี(14 พ.ค.) ไบรต์ ซึ่งทำงานอยู่ในสถาบันสุขภาพแห่งชาติ ด้วยตำแหน่งที่ลดลง ได้กล่าวกับฝ่ายนิติบัญญัติว่า สหรัฐฯยังมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะสนับสนุนการใช้ยาดังกล่าว และเขากังวลเกี่ยวกับผลข้างเคียงของยา

 

"เมื่อผมต้องออกมาพูดกับรัฐบาลและกล่าวถึงความกังวลของผมต่อสาธารณชนชาวอเมริกัน เมื่อนั้นผมเชื่อว่าสถานการณ์โรคระบาดคงร้ายแรงจนเกิดความเสียหายครั้งใหญ่แล้ว พูดโดยไม่ต้องเกรงกลัวบทลงโทษ เราจำเป็นต้องพูดความจริงกับชาวอเมริกัน พวกเขาสมควรรู้ความจริง ความจริงที่ต้องอยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ เรามีกลุ่มนักวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พวกคุณควรลุกขึ้นมาพูดโดยไม่ต้องกลัวบทลงโทษ และเราทุกคนต้องรับฟัง และทำทุกอย่างที่สามารถทำได้ในความรับผิดชอบของเรา" ไบรต์ พูดกระตุ้นให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ออกมา

 

ทางด้าน ปธน.ทรัมป์ ได้ให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวว่า "ได้ดูคำให้การของไบรต์แล้ว ผมว่าเขาก็แค่แค้นหนักที่โดนปลด" ทรัมป์กล่าวก่อนออกจากทำเนียบขาวไปร่วมงานในแอลเลนทาวน์ รัฐเพนซิลวาเนีย

 

ด้าน แอนนา เอสชู (Anna Eshoo) สมาชิกรัฐสภาและประธานคณะอนุกรรมการด้านสุขภาพ สังกัดคณะกรรมาธิการด้านพลังงานและการพาณิชย์ของทำเนียบขาว แสดงความเห็นเกี่ยวกับการรับมือโรคโควิด-19 ของทำเนียบขาวว่า "ไม่เหมาะสม ไร้ประสิทธิภาพ และเชื่องช้าอย่างที่สุด" ระหว่างการพิจารณาคดีในวันพฤหัสบดี

 

ศูนย์วิทยาศาสตร์และวิศวกรรมระบบ (CSSE) ของมหาวิทยาลัยจอห์นส ฮอปกินส์ (Johns Hopkins University) ประกาศสถิติเมื่อช่วงบ่ายวันพฤหัสบดีว่า มีผู้ได้รับการยืนยันว่าติดโควิด-19 มากกว่า 1.41 ล้านราย โดยมีผู้เสียชีวิตมากกว่า 85,000 รายทั่วประเทศ

 

 

ไมเคิล เบอร์เจส (Michael Burgess) สมาชิกพรรครีพับลิกันที่ทำงานอยู่ในคณะอนุกรรมการด้านสุขภาพยอมรับว่า ไบรต์ ได้ "ยกประเด็นข้อกล่าวหาที่ร้ายแรง" ซึ่ง "สมควรได้รับการสอบสวน" อย่างไรก็ตาม เบอร์เจสกลับเรียกการร้องเรียนของไบรต์ว่า "ยังไม่ผ่านการพิจารณาที่ดีพอ" และ "มีความยากลำบาก" ในการสืบสวน

 

สำนักงานที่ปรึกษาพิเศษแห่งสหรัฐฯ ซึ่งกำลังตรวจสอบข้อร้องเรียนของไบรต์กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า ทางสำนักงานได้พบ "ความเป็นไปได้สูงว่าเกิดการดำเนินงานผิดพลาด" ในการถอดถอนไบรต์ออกจากตำแหน่ง โดยระบุว่าคำสั่งดังกล่าวไม่ใช่การตัดสินใจขั้นสุดท้าย และขอให้กระทรวงสาธารณสุขและบริการมนุษย์แห่งสหรัฐฯ สอบสวนเรื่องนี้

ไบรต์ ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิคุ้มกันและวัคซีน ยังกล่าวในวันพฤหัสบดีถึงการคาดการณ์ที่ว่าวัคซีนต้านโควิด-19 จะผลิตสำเร็จภายใน 12-18 เดือนนั้นเป็น "กำหนดการที่อุกอาจอย่างยิ่ง"

 

"มีผู้มองโลกในแง่ดีจำนวนมากที่ตีกรอบเวลาขึ้นมาว่าวัคซีนจะเสร็จในราว 12-18 เดือน หากทุกอย่างเป็นไปอย่างสมบูรณ์แบบ แต่เรารู้ดีว่าทุกอย่างไม่เคยสมบูรณ์แบบ ผมกังวลว่าหากเราเร่งรีบเกินไปและพิจารณาตัดขั้นตอนที่สำคัญออกไป อาจทำให้เราไม่ได้ประเมินความปลอดภัยของวัคซีนอย่างเต็มรูปแบบ ดังนั้น ผมจึงเห็นว่ามันต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง" ไบรต์กล่าวกับฝ่ายนิติบัญญัติในการพิจารณาคดี

 

นอกจากนี้ ไบร์ตยังชี้ให้เห็นว่าไม่มีบริษัทใดที่สามารถผลิตวัคซีนในปริมาณที่เพียงพอสำหรับสหรัฐฯ หรือโลกทั้งใบได้ "เราจำเป็นต้องวางกลยุทธ์และแผนโดยทันที เพื่อรับรองว่าเราไม่เพียงจะจัดหาวัคซีนได้ แต่ยังสามารถผลิต แจกจ่าย และบริหารการใช้วัคซีนได้อย่างยุติธรรมและเท่าเทียม ซึ่งเรายังไม่มีแผนนั้นและนี่คือเรื่องที่น่ากังวลอย่างยิ่ง"

 

ไบรต์ ออกมากล่าว 2 วันให้หลังจากที่ แอนโธนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดเชื้อแห่งชาติสหรัฐฯ และผู้เชี่ยวชาญชั้นนำของกองกำลังรับมือไวรัสโคโรนาแห่งทำเนียบขาว ได้เบิกความต่อหน้าคณะกรรมการวุฒิสภา พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขรายอื่น ผ่านการประชุมทางไกล

 

เฟาซี กล่าวเตือนว่า อาจมีผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตมากขึ้นหากสหรัฐฯ ไม่มีการรับมือที่เพียงพอในช่วงฤดูใบไม้ร่วง มีความเสี่ยงที่เราจะเผชิญการกลับมาของไวรัสอีกครั้ง ซึ่งผมหวังว่าเมื่อถึงเวลานั้นในช่วงฤดูใบไม้ร่วง เราจะมีความสามารถในการรับมือที่เพียงพอ เพราะหากไม่เป็นเช่นนั้น ย่อมเกิดปัญหาแน่นอน

 

หลังจากนั้นในวันพฤหัสบดี ไบรต์ได้กล่าวถึงการประเมินที่คล้ายคลึงกัน "ถ้าเราไม่สามารถปรับปรุงการรับมือของเราได้ในตอนนี้ ตามหลักวิทยาศาสตร์แล้ว ผมเกรงว่าการระบาดใหญ่จะยิ่งเลวร้ายและยืดเยื้อขึ้น เพราะมีแนวโน้มว่าโรคโควิด-19 จะกลับมาในฤดูใบไม้ร่วงนี้ ซึ่งเมื่อรวมกับโรคไข้หวัดใหญ่ตามฤดูกาลแล้วก็จะสร้างปัญหาอันถาโถม หากไม่มีการวางแผนที่ดีกว่านี้ ปี 2020 นี้ก็อาจเป็นฤดูหนาวที่มืดมิดที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ของเรา"

 

------------------------

Cr. xinhuathai.com

 

เตือนสหรัฐฯอาจเผชิญความมืดมิด หากไม่พัฒนาวิธีรับมือโควิด

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ