ชาวจีนประจานออนไลน์คนไม่กักตัว ผลตามมาถึงขั้นตกงาน-เนรเทศ 

                            สถานการณ์ไวรัสโรคโควิด-19 ระบาดทั่วโลก ทำให้ชาวจีนหลายพันคนพากันเดินทางกลับบ้านเกิด ที่สามารถคุมการระบาดได้แล้ว จนเกิดความวิตกในหมู่ชาวจีนในประเทศว่า จะเจอการระบาดระลองสองจากคนเหล่านี้ หลังพบเชื้อนำเข้าแล้วกว่า 200 ราย

                           เป็นผลให้มีกระแสจับตาและประจานเพื่อนร่วมชาติที่ไม่ยอมปฏิบัติตัวอย่างถูกต้อง นั่นคือการกักตัว 14 วัน ซึ่งจนถึงขณะนี้ก็พบหลายคน 

                           หนึ่งในนั้น เป็นสตรีชาวออสเตรเลียเชื้อสายจีน ออกมาวิ่งออกกำลังกายในกรุงปักกิ่ง เมื่อวันที่ 15 มีนาคม และไม่สวมหน้ากากอนามัย 

                           มีการเผยแพร่คลิปในวันต่อมา แสดงให้เห็นสตรีคนดังกล่าว ทราบภายหลังว่าแซ่เหลียง มีปากเสียงกับตำรวจ เธอตะโกนว่า ช่วยด้วย มีคนกำลังคุกคาม เมื่อเธอถูกสั่งให้สวมหน้ากากอนามัยและอยู่แต่ในบ้าน 

                           ทันทีที่คลิปแพร่  ชาวเน็ตจีนก็พาไปขุดปูมหลังของเธอ และเรียกร้องให้ไล่ออกไปจากประเทศ ต่อมา ตำรวจออกคำสั่งระบุว่า เหลียงละเมิดเงื่อนไขวีซ่า สำหรับคนเดินทางเข้าประเทศในช่วงนี้ที่จะต้องกกตัว 14 วันและขอให้ออกจากจีน ขณะบริษัทไบเออร์ ไชนา ออกแถลงการณ์ไล่พนักงานคนนี้ออกทันที 

                            อีกหลายคนที่ฝ่าฝืนการกักตัว ก็กำลังตกเป็นเป้าตามล่าของชาวโซเชียล 

                           กระแสประจาน ไม่ได้พุ่งเป้าเฉพาะชาวจีนที่เดินทางกลับ แต่ยังเป็นชาวจีนในประเทศ ซึ่งบางครั้ง เป็นความกดดันและทำความเดือดร้อนแก่ครอบครัวของพวกเขา 

                           หยู เว่ย ศาสตราจารย์กฎหมาย มหาวิทยาลัยรัฐศาสตร์และกฎหมาย มหาวิทยาลัยจีนตะวันออก กล่าวว่า การกระทำของชาวเน็ตอาจเป็นอันตรายกับคนที่ถูกกล่าวหา  โดยเฉพาะการเปิดข้อมูลส่วนตัวบนอินเทอร์เน็ต จะทำให้หลายคนได้รับผลกระทบโดยไม่จำเป็น ยังไม่รวมถึงการแสดงความเห็นเชิงลบ การแบ่งแยก ตลอดจนการรายงานในสื่อ ทางการและสื่อกระแสหลักควรเป็นผู้นำกระแสความคิดในเรื่องนี้ไปในทางที่ถูก เพราะการปกป้องสิทธิส่วนบุคคลคือรากฐานของสังคมนิติรัฐ