ข่าว

แจงแล้ว "รถไฟญี่ปุ่นมือสอง" รฟท.เผยซ่อมแซมเหมือนใหม่ คุ้มค่าแน่

แจงแล้ว "รถไฟญี่ปุ่นมือสอง" รฟท.เผยซ่อมแซมเหมือนใหม่ คุ้มค่าแน่

20 ก.ย. 2564

รฟท. ยันสามารถซ่อม"รถไฟญี่ปุ่นมือสอง" เนรมิตรให้มีประสิทธิภาพใช้งานได้ดีคุ้มค่า เผยโรงงานมักกะสันพร้อมปรับความกว้างล้อเป็น 1 เมตร เป็นขบวนท่องเที่ยวและเฟิร์สคลาสได้แน่ ด้านสาวิทย์ตั้ง 5 ประเด็นให้พิจารณา

ผู้สื่อข่าว"คมชัดลึก" รายงานว่า หลังจาก นายสาวิทย์ แก้วหวาน ประธานสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย ออกมาตั้งข้อสังเกตถึงการรถไฟแห่งประเทศไทย(รฟท.) รับบริจาค "รถไฟญี่ปุ่นมือสอง" โดยเสียค่าขนส่ง 42 ล้านบาท มองว่าจะคุ้มค่าหรือไม่ เนื่องจากต้องมีการใช้งบประมาณมาปรับปรุงซ่อมแซม โดยเฉพาะขนาดของล้อ"รถไฟญี่ปุ่นมือสอง"และรางของไทยไม่รองรับกัน 

 

ล่าสุด "เพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย" ได้ออกมาชี้แจงโดยยืนยันว่า การรับบริจาครถไฟญี่ปุ่นมือสองครั้งนี้สามารถซ่อมแซมได้และถือเป็นความคุ้มค่า 

 

โดย"เพจทีมพีอาร์การรถไฟแห่งประเทศไทย" แจกแจงเป็นข้อๆ ดังนี้ จากที่ บริษัท JR Hokkaido ได้มอบรถดีเซลราง จำนวน17 คัน ให้การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)

 

รถไฟญี่ปุ่นมือสองที่เคยได้รับบริจาครอการซ่อมแซม จอดทิ้งไว้ที่ศรีราชา ชลบุรี

 

โดย รฟท.รับผิดชอบเพียงแค่ค่าใช้จ่ายในการขนย้ายเท่านั้น โดยมีการแสดงความคิดเห็นผ่านสื่อหลายแขนง ในเรื่องความคุ้มค่าเพราะเห็นว่ารถไฟจากญี่ปุ่นได้ใช้งานมาแล้ว 30 - 40 ปี อีกทั้งมีขนาดความกว้างของล้อ 1.06 เมตร ขณะที่ รางรถไฟไทยมีขนาดกว้าง 1 เมตร ทำให้ รฟท. ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการปรับปรุงจำนวนมาก ซึ่งฝ่ายการช่างกล การรถไฟฯ ขอชี้แจงข้อเท็จจริง ดังนี้

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง 

เผยโฉมรถไฟมือสองญี่ปุ่นที่ไทยเคยได้รับบริจาคและปรับปรุงซ่อมแซมให้เหมือนใหม่

ขนาดความกว้างของราง


ปัจจุบันในแต่ละประเทศหรือแต่ละภูมิภาค ใช้ขนาดความกว้างของรางรถไฟแตกต่างกันออกไป


เช่น ยุโรป และ จีนใช้ความกว้างของราง ขนาด 1.435 เมตร หรือเรียกว่า Standard Gauge ประเทศในแถบเอเชียใต้ เช่น ปากีสถาน บังคลาเทศ อินเดีย ใช้ความกว้างของรางขนาด 1.60 เมตร ซึ่งการกำหนดความกว้างของรางนั้น เป็นเรื่องของการใช้พื้นที่และการเชื่อมโยงกันในภูมิภาคเป็นปัจจัยสำคัญ 


ขณะที่ ประเทศในภูมิภาคเอเชีย ส่วนมากใช้ความกว้างของรางขนาด 1.00 - 1.067 เมตร โดย รฟท.มีขนาดความกว้างของราง 1.00 เมตร ส่วนรถไฟญี่ปุ่นมีขนาดกว้าง 1.067 เมตร ซึ่งถือว่าเป็นรางมาตรฐานเดียวกันคือ Narrow Gauge โดยความกว้างของรางขนาด 1.00 เมตร ของ รฟท. นั้น สามารถเชื่อมต่อกับรถไฟของประเทศมาเลเซีย ลาว กัมพูชา เวียดนาม และพม่าได้ 

ขนาดความกว้างของล้อ


กรณีรถดีเซลราง จำนวน 17 คัน ของ JR Hokkaido ที่มอบมาให้นั้น รฟท. แค่นำมาปรับฐานล้อด้วยเครื่องอัดไฮดรอลิคที่โรงงานมักกะสันก็สามารถนำออกมาให้บริการได้ทันที ซึ่งการปรับปรุงสภาพรถและปรับขนาดความกว้างของฐานล้อเป็นเรื่องที่ศูนย์แผนงานและการผลิต โรงงานมักกะสัน ฝ่ายการช่างกล ดำเนินการเป็นปกติทางด้านวิศวกรรมเครื่องกลอยู่แล้ว โดยเฉพาะการปรับปรุงความกว้างของฐานเพลาล้อ
จาก 1.067 เมตร ให้เป็น 1.00 เมตร สามารถปรับได้มากถึง 2-3 คันต่อวัน 

 

สำหรับกรณีการดันล้อที่มีพิกัดความกว้าง 1.067 เมตร ไปใช้ในความกว้าง 1.00 เมตร ถือว่าเป็นขั้นตอนหนึ่งในการซ่อมบำรุงล้อและเพลาตามปกติของ รฟท. แม้แต่รถโดยสารที่วิ่งให้บริการอยู่ในปัจจุบันก็ต้องมีการนำรถโดยสารเข้ามาตรวจสอบสภาพ ปรับฐานล้อให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์เพื่อความปลอดภัยในการให้บริการ            

 

ความคุ้มค่า


ที่ผ่านมาในอดีต รฟท. เคยได้รับรถดีเซลรางและรถโดยสารปรับอากาศมาจาก JR West ประเทศญี่ปุ่น

 

ในปี 2540 จำนวน 26 คัน ปี 2542 จำนวน 28 คัน ปี 2547 จำนวน 40 คัน ปี 2553 จำนวน 32 คัน และรถโดยสารจากควีนแลนด์ ประเทศออสเตรเลีย ในปี 2538 จำนวน 21 คัน ซึ่ง รฟท. ได้นำรถที่ได้รับมอบเหล่านี้มาปรับความกว้างฐานเพลาล้อจาก 1.067 เมตร เป็น 1.00 เมตร ซึ่งหลังจากปรับปรุงแล้วสามารถนำมาให้บริการได้จนถึงปัจจุบัน รวมเป็นระยะเวลากว่า 25 ปีแล้ว แม้แต่ในประเทศญี่ปุ่นเองก็ตาม ได้มีการนำรถโดยสารที่ปลดระวางแล้วมาดัดแปลง ปรับปรุงให้เหมาะสมกับการให้บริการในด้านต่างๆ

 

รถไฟญี่ปุ่นมือสอง ผ่านการปรับปรุงซ่อมแซมสามารถวิ่งได้

เช่น การส่งเสริมภาพลักษณ์ สนับสนุนด้านการท่องเที่ยว เป็นต้น ซึ่ง รฟท. ได้นำรถโดยสารปรับอากาศ JR West ที่ได้รับ มาปรับปรุงดัดแปลงเป็นรถจัดเฉพาะเพื่อใช้ในกิจการรถไฟ อาทิเช่น ตู้ SRT Prestige และ SRT VIP Train (ขบวนรถหรูสีน้ำเงินเข้มคาดทอง รถไฟชั้นเฟิร์สคลาส) และเคยเป็นขบวนรถไฟที่ให้บริการคณะรัฐมนตรี (ครม.) ใช้เดินทาง และใช้ประชุม ครม.สัญจรหลายครั้ง

 

นอกจากนี้ ยังให้บริการแก่ประชาชนทั่วไปในรูปแบบของขบวนรถท่องเที่ยว เช่น รถ OTOP Train อีกด้วย ถือเป็นขบวนรถไฟที่มีผู้โดยสารจองเช่าใช้บริการมากที่สุด เพราะมีความสวยงาม และมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันโดยในปีงบประมาณ 2562 รฟท. มีรายได้จากการให้เช่ารถไฟเฟิร์สคลาส และขบวนรถพิเศษรวมกว่า 10 ล้านบาท ส่วนปีงบประมาณ 2563 เกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 รายได้ลดลงเหลือประมาณ 5 ล้านบาท

 

โรงงานรถไฟมักกะสันสามารถเนรมิตรถไฟญี่ปุ่นมือสองกลับมาใช้ประโยชน์เพื่อการท่องเที่ยว

นอกจากนี้ ยังนำรถ JR West บางส่วนมาปรับปรุงดัดแปลงเป็นรถแค้มป์คาร์ของฝ่ายการช่างโยธา รถ Power car รถสำหรับผู้พิการ Wheel chair ซึ่งสามารถสร้างประโยชน์ในการให้บริการแก่ประชาชนอีกด้วย และหากเปรียบเทียบกับการจัดซื้อใหม่แล้ว จะเห็นว่า รฟท. ประหยัดงบประมาณได้เป็นจำนวนมาก 

 

ส่วนรถโดยสารควีนแลนด์ ปัจจุบัน รฟท. ยังใช้ให้บริการในขบวนรถชานเมืองเป็นประจำทุกวัน โดยสังเกตุได้จากขบวนรถที่ทำจาก Stainless คาดสีเขียว ซึ่งล้วนเป็นรถไฟที่ รฟท. ได้รับมาและดำเนินการซ่อมบำรุง และปรับปรุงความกว้างของฐานล้อทั้งสิ้น ซึ่งยังสามารถใช้การได้เป็นอย่างดี  

 

สำหรับรถโดยสารปรับอากาศ 10 คันที่ JR Hokkaido มอบมาก่อนหน้านี้ รฟท. มีแผนจะดัดแปลงเป็นขบวนรถท่องเที่ยว ซึ่งในขณะนี้ได้ดำเนินการผ่านขั้นตอนการปรับปรุงความกว้างของฐานล้อ จาก 1.067 เมตรเป็น 1.00 เมตร เรียบร้อยแล้ว ปัจจุบันจอดอยู่ที่ ศรีราชา และ รฟท. อยู่ระหว่างประกาศการจัดซื้อจัดจ้างเพื่อทำการดัดแปลงเป็นขบวนรถท่องเที่ยว ตามที่มีการร่วมมือกับ ทาง TCDC และมีการวางแผน ทางการตลาดไปก่อนหน้านั้น ส่วนขบวนรถ ดีเซลราง Kiha183 จำนวน 17 คันล่าสุดนั้น หลังจากรับเข้ามาแล้ว จะต้องทำการปรับปรุงให้เหมาะสมและเป็นปตามแผนงานตามมาตรฐาน ของ รฟท. โดยคาดว่าจะสามารถทยอยนำออกให้บริการได้ ภายในต้นปี 2565 

 

อะไหล่ซ่อมบำรุง

ส่วนประเด็นการนำเข้าอะไหล่ซ่อมบำรุงนั้น เนื่องจากประเทศไทยไม่ใช่ประเทศผู้ผลิตชิ้นส่วนอุตสาหกรรม
รถไฟ รวมถึงรถจักร และรถโดยสาร ดังนั้น การซ่อมบำรุงรถจักรล้อเลื่อน ส่วนใหญ่ ต้องนำเข้าจากญี่ปุ่น และยุโรป จีน และสหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ รถไฟฟ้า ทั้ง BTS และ BEM ก็ล้วนใช้อะไหล่นำเข้าทั้งสิ้น 

แจงแล้ว \"รถไฟญี่ปุ่นมือสอง\" รฟท.เผยซ่อมแซมเหมือนใหม่ คุ้มค่าแน่

 

ด้านนายสาวิทย์  แก้วหวาน  ประธานสหภาพแรงงานการรถไฟแห่งประเทศไทย  เปิดเผยว่า สำหรับรถดีเซลรางที่ทางบริษัท JR Hokkaido ซึ่งเป็นบริษัทเอกชนเดินรถของประเทศญี่ปุ่น ได้มอบให้การรถไฟฯ ถือเป็นความร่วมมือและการรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างการรถไฟฯ และบริษัทในเครือ JR ที่มีมาอย่างยาวนาน

 

โดยการรถไฟฯ มีหนังสือตอบรับมอบรถดีเซลราง ตั้งแต่วันที่ 7 ก.พ. 2560 แต่ติดปัญหาเรื่องการขนย้ายจึงทำให้ล่าช้ามาจนถึงปัจจุบัน และเพื่อการรักษาความสัมพันธ์อันดีกับบริษัท JR Hokkaido จึงได้ว่าจ้างบริษัททำการขนย้ายรถไฟทั้ง 17 คัน ซึ่งจากการตรวจสอบสภาพตู้รถโดยสารในเบื้องต้น ขบวนรถดีเซลรางอยู่ในสภาพดีได้รับการดูแลบำรุงรักษาจากทางญี่ปุ่นเป็นอย่างดี ซึ่งหลังจากที่การรถไฟฯ ได้รับมอบตู้โดยสารแล้วจะมีการเข้าไปตรวจสอบด้านความปลอดภัย และนำมาดัดแปลงเพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งานอีกครั้ง

 

เบื้องต้นคาดว่าจะนำตู้โดยสารดังกล่าวมาปรับปรุงเพื่อใช้ในด้านการส่งเสริมการท่องเที่ยว กระตุ้นเศรษฐกิจภายในประเทศตามนโยบายรัฐบาลต่อไป

อย่างไรก็ตาม นายสาวิทย์ ขอตั้งประเด็นให้พิจารณาต่อดังนี้ 1.การจัดหารถมาให้บริการประชาชน ผู้โดยสารเป็นเรื่องที่ดี และควรเร่งดำเนินการ รถใหม่ที่ รฟท.สั่งไปเช่นหัวรถจักรตั้งแต่ปี 54 แต่จะส่งมอบปีหน้า รถดีเซลรางประมาณ 180 คันก็ถูกท้วงติงจากหลายฝ่ายตอนนี้เรื่องอยู่ที่สภาพัฒน์ ยังซื้อไม่ได้

 

2.แต่การนำมาก็ต้องประเมินว่า คุ้มค่าหรือไม่คุ้มค่า ทั้งเรื่องค่าขนส่ง ค่าอากร ค่าดัดแปลงเพลาล้อให้สามารถวิ่งบนรางของไทย และการปรับปรุงทั้งระบบ ช่วงล่าง ช่วงบน ภายในตัวรถ และอะไหล่ในระยะยาว เราจะเอามาจากไหน คงต้องซื้อจากญี่ปุ่น แต่เมื่อเขาเลิกใช้การเขาจะผลิตอยู่มั๊ย(เพราะรุ่นนี้ส่วนมากมีเครื่องยนต์)รวมค่าจอดรถคอยในเขตท่าเรือรอการปรับปรุงแคร่...ต้องคำนวณให้ดี

 

3.รถที่ รฟท.รับมาเป็นรถที่ใช้งานมาเกือบ 40 ปีจะมีปัญหากับความปลอดภัยที่อาจจะตามมาหรือไม่ 

 

4.มีตู้โดยสารรถไฟเก่าๆ ของ รฟท.เองที่ตัดบัญชี และอยู่ระหว่างการตัดบัญชีมีอยู่มีใช้น้อยที่จอดกระจายอยู่ตามสถานีต่างๆ ปัดฝุ่นนำมาปรับปรุงดัมั๊ย อายุการใช้งานพอๆกัน เป็นบริการท่องเที่ยวไม่ต้องวิ่งเร็วมาก 90 กม/ชม.น่าจะคุ้มค่ากว่า

 

5.รัฐบาลควรหันมาให้ความสำคัญกับการรถไฟในการจัดงบประมาณซื้อรถใหม่ รองรับกับเทคโนโลยี่อนาคต เป็นรถขับเคลื่อนด้วยพลังไฟฟ้าซึ่งก็จะสอดคล้องกับการการพัฒนาโลกอย่างยั่งยืนของ UN ที่เราเรียกย่อๆว่า SDG

 

6.รัฐบาลควรวางแผนระยะยาวในการวิจัย ผลิตรถไฟใช้เอง สนับสนุน สร้างวัฒนธรรมให้ประชาชนใช้บริการขนส่งสาธารณะโดยระบบราง