ข่าว

 "วัดสวนแก้ว" ยังไม่สิ้นหวัง อัยการชี้ช่องมีสิทธิ์ได้เงินค่าที่ดิน 10 ล้านคืน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"วัดสวนแก้ว"ยังไม่สิ้นหวังเมื่ออธิบดีอัยการฯ"ปรเมศวร์"ชี้ช่องหากทางวัดไม่คืนโฉนดและไม่ยอมออกจากที่ดิน รอให้ทางเจ้าของที่ดินฟ้องขับไล่แล้วแย้งไปว่าซื้อที่ดินมาโดยสุจริต ถ้าจะเอาที่ดินคืนต้องใช้ราคาตาม ม.1332 กฎหมายแพ่ง-ย้อนรอยปมปัญหาคดีที่ดินวัดสวนแก้ว

นายปรเมศวร์ อินทรชุมนุม อธิบดีอัยการสำนักงานคดีอาญาธนบุรี ได้ให้สัมภาษณ์ ในรายการ"โหนกระแส " เกี่ยวกับกรณีที่ดินวัดสวนแก้ว จังหวัดนนทบุรี ที่พระพยอมในนามมูลนิธิวัดสวนแก้วได้ซื้อที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา มาจากนางวันทนาตั้งแต่ปี 2547 ในราคา 10 ล้านบาทผ่านไปสองปีปรากฏว่ามีทายาทเจ้าของที่ดินร้องศาลขอเพิกถอนไม่ให้นางวันทนา ครอบครองที่ดินปรปักษ์เรียกเอาที่ดินคืนจากวัดฯและชนะคดี และล่าสุดเจ้าของที่ดินได้ส่งเอกสารแจ้งให้ทางวัดย้ายออกจากที่ดินภายในสิ้นเดือนมิถุนายนนี้ ว่า เรื่องที่ดินจบ ทำอะไรไม่ได้ แต่ถามว่าถ้าเป็นชาวบ้านแล้วครอบครองที่ปรปักษ์จะแก้ปัญหายังไง คำตอบคือยังไม่คืนที่ดินจนกว่าจะรับชำระราคาเป็นไปตามประมวลกฎหมายพาณิชย์ 1332

"พระพยอมไม่ควรเอาโฉนดไปคืน ไม่ควรออกจากโฉนดให้เขาฟ้องขับไล่ จำไว้เลยนะ ฟ้องขับไล่ แล้วเราฟ้องแย้งไปว่ามูลนิธิซื้อมาโดยสุจริต เปิดเผย ที่ดินถูกต้อง ถ้าจะเอาคืนต้องใช้ราคา 10 ล้าน พูดง่ายๆ เหมือนนางวันทนา ไปรับของโจรมาขายให้กับเรา เราไม่รู้ เราซื้อโดยสุจริต ถ้าจะเอาที่ดินคืน เขาต้องใช้ราคาเพราะซื้อมาอย่างสุจริต"

พระพยอม กล่าวเสริมขึ้นว่า ตอนนี้โฉนดอยู่ที่วัดไม่ได้คืน ยังเก็บรักษาอยู่ กรมที่ดินมาทวงคืนหลายรอบแล้ว 
นายปรเมศวร์  กล่าวต่อไปว่า กฎหมายบอกว่าถ้าเจ้าของจะเอาที่ดินคืน ต้องใช้ราคาผู้ที่ซื้อโดยสุจริต
ทั้งนี้ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 1332 บัญญัติว่า  บุคคลผู้ซื้อทรัพย์สินมาโดยสุจริตในการขายทอดตลาดหรือในท้องตลาด หรือจากพ่อค้าซึ่งขายของชนิดนั้น ไม่จําต้องคืนให้แก่เจ้าของแท้จริง เว้นแต่เจ้าของจะชดใช้ราคาที่ซื้อมา

พลิกปูมปมปัญหาคดีที่ดินวัดสวนแก้ว 
1. "พระพยอม กลฺยาโณ" เจ้าอาวาสวัดสวนแก้ว  ซึ่งตั้งอยู่ที่ ต.บางเลน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ได้จัดตั้ง "มูลนิธิวัดสวนแก้ว" ขึ้น 

2. ในปี 2547 พระพยอมในนามของมูลนิธิวัดสวนแก้วได้ซื้อที่ดินเนื้อที่ 1 ไร่ 1 งาน 55 ตารางวา จาก "นางวันทนา" ในราคา 10 ล้านบาท ซึ่งที่ดินผืนนี้อยู่ติดวัดพอดี

3. การซื้อขายดำเนินไปอย่างถูกต้องตามกฎหมายทุกอย่าง โดยผ่านสำนักงานที่ดิน มีการโอนโฉนดมาเป็นของวัดสวนแก้วเรียบร้อย

4. เมื่อซื้อมาแล้วพระพยอมก็เริ่มพัฒนาที่ดินผืนนั้น ด้วยการถมที่ไป 8 แสนบาท แล้วก่อสร้างอาคารอีกหลายแสนบาท

5. ปัญหาเกิดขึ้นในปี 2549 หลังจากพระพยอมซื้อที่ดินได้ 2 ปี เมื่อมีคนมาอ้างต่อทางวัดฯว่าที่ดินผืนนี้ไม่ใช่ของนางวันทนา แต่เป็นของ “นางทองอยู่” มารดาของเขาซึ่งเสียชีวิตไปแล้ว โดยเมื่อ 30กว่าปีก่อน ตอนที่นางทองอยู่ ยังมีชีวิตอยู่ นางทองอยู่ได้อนุญาตให้นางวันทนากับแม่ซึ่งเป็นญาติเข้ามาอยู่อาศัยในที่ดินผืนนี้
6. ด้านนางวันทนา ก็ยอมรับว่าที่ดินผืนดังกล่าวเคยเป็นของนางทองอยู่จริง โดยในปี 2516 นางทองอยู่ ได้ให้ตนกับแม่เข้ามาปลูกบ้านทำสวนในที่ดินผืนดังกล่าวอย่างเปิดเผย
7. ปี 2528 นางทองอยู่เสียชีวิตลง นางวันทนากับแม่ก็อาศัยทำกินบนที่ดินผืนนี้เรื่อยมาจนถึงปี 2546 รวม 30 ปี โดยไม่มีใครคัดค้านหรือขับไล่ นางวันทนา จึงไปยื่นคำร้องต่อศาล ขอมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินซึ่งครอบครองโดยปรปักษ์ และศาลก็มีคำสั่งในปีเดียวกันให้นางวันทนาเป็นผู้ครอบครอง
8. "ครอบครองปรปักษ์" คือ การที่เราอยู่อาศัยทำกินในที่ดินของผู้อื่นอย่างเปิดเผย และเจ้าของก็ไม่ได้กีดกันหรือฟ้องขับไล่เรา เมื่อครอบครองนาน 10 ปี เราจะมีสิทธิ์จดทะเบียนกรรมสิทธิ์ในที่ดินได้
9.ในปี 2547 นางวันทนาได้แบ่งขายที่ดินเนื้อที่ประมาณ 1 ไร่ ให้กับมูลนิธิวัดสวนแก้วในราคา 10 ล้านบาท
10. ในปี 2549 ทายาทของนางทองอยู่ ทราบเรื่อง จึงไปฟ้องศาลขอให้เพิกถอนการครอบครองของนางวันทนา
11. เมื่อทายาทของนางทองอยู่ไปฟ้องศาล ปรากฏว่านางวันทนากลับเซ็นยอมความไม่สู้คดี 
12. เมื่อนางวันทนา ยอมความ ในเดือนเมษายน 2550 ศาลจึงสั่งเพิกถอนการครอบครองกรรมสิทธิ์ที่ดินปรปักษ์ของนางวันทนา ส่งผลให้โฉนดที่ดินที่มูลนิธิวัดสวนแก้วถืออยู่กลายเป็นโมฆะและต้องคืนที่ดินให้ทายาทนางทองอยู่
13.คดีนี้กลายเป็นกรณีพิพาทใหญ่โตระหว่างพระพยอมกับกรมที่ดิน ถึงขนาดพระพยอมประกาศคว่ำบาตร งดรับกิจนิมนต์จากส่วนราชการทุกส่วนโดยไม่มีกำหนด โดยเฉพาะหน่วยงานของกรมที่ดิน
14. พระพยอมอ้างว่า ตอนซื้อที่ดิน กรมที่ดินไม่ได้แย้งหรือตรวจสอบว่าที่ดินผืนนี้ไม่ใช่ที่ปรปักษ์ และตนก็เข้ามาพัฒนาที่ดินผืนนี้อย่างเปิดเผยเป็นเวลา 2 ปี 7 เดือน โดยไม่มีใครคัดค้าน แต่จู่ ๆโฉนดราคา 10 ล้านกลับเป็นโมฆะ

15. พระพยอมเรียกโฉนดที่ดินดังกล่าวว่า "โฉนดถุงกล้วยแขก" (หมายถึงโฉนดที่ดิน 10 ล้าน แต่มีค่าเท่ากับถุงกล้วยแขก) แล้วทำอนุสาวรีย์โฉนดถุงกล้วยแขกตั้งไว้ที่วัดเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม แถมยังออกหนังสือชื่อ "ถุงกล้วยแขกพระพยอม" ด้วย

16. ส่วนนางวันทนา อ้างว่าตนใช้เงิน 10 ล้านไปหมดแล้ว ไม่มีเงินคืนให้วัด
17. ตลอดหลายปีที่ผ่านมาศาลพยายามไกล่เกลี่ย เพื่อหาทางออกร่วมกันระหว่างวัดสวนแก้วกับทายาทนางทองอยู่หลายครั้ง ครั้งแรกวัดเสนอเงินเพิ่มให้ 3 ล้านบาท แต่อีกฝ่ายต้องการ 15 ล้านหลายปีต่อมาวัดเสนอให้ 5 ล้าน อีกฝ่ายต้องการ 45 ล้าน (ปัจจุบันบริเวณดังกล่าวมีรถไฟฟ้าผ่าน) ทำให้ตกลงกันไม่ได้

18. กระทั่งในปี 2560 ทางวัดก็ยื่นต่อศาลขอครอบครองปรปักษ์ที่ดินผืนดังกล่าว เนื่องจากวัดอยู่ในที่ดินมานานกว่า 12 ปี นับจากปี 2547 แต่ศาลยกฟ้องและวัดก็อุทธรณ์ต่อ

19. ต้นเดือนมิถุนายน 2563 ทายาทนางทองอยู่และทนายความได้เดินทางมาที่วัดและแจ้งกับพระพยอมว่า ศาลสั่งให้วัดขนย้ายข้าวของออกจากที่ดินภายในสิ้นเดือนมิถุนายน

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ