"ยงยุทธ" ขอโอกาสพา "ทักษิณ" กลับบ้าน มีเป้าหมายอะไร อัพเดท 5 คดีทักษิณ ที่ศาลแผนกคดีอาญานักการเมือง
และแล้วพรรคการเมืองที่ถูกเรียกว่า “พรรคเพื่อทักษิณ” ก็สามารถนำ “ทักษิณ ชินวัตร” มาหาเสียงได้ แม้จะมีข้อกฎหมายสกัดไว้
ในการปราศรัยหาเสียงในโอกาสเปิดสถาบันพัฒนาการเมืองที่พิษณุโลกของพรรคเพื่อชาติ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ที่ผ่านมา “ยงยุทธ ติยะไพรัช”อดีตประธานรัฐสภา แกนนำคนสำคัญของพรรคเพื่อชาติ ที่เรียกตัวเองว่าเป็น “กองเชียร์” ของพรรค เพราะไม่ได้เป็นสมาชิกพรรค ได้พา “ทักษิณ” ขึ้นเวทีหาเสียงอย่างชัดเจนเป็นครั้งแรก
“เราได้พยายามให้ ดร.ทักษิณกลับมาประเทศไทย 3 ครั้งแล้ว แต่ไม่สำเร็จ จึงขอโอกาสครั้งนี้ ซึ่งถือว่าเป็นครั้งที่ 4 หากได้รับความไว้วางใจจากพี่น้องประชาชนเลือกพรรคเพื่อชาติ...”
ต้องไม่ลืมว่ารัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบันมีการวางกติกาใหม่เพื่อสกัดไม่ให้ “ทักษิณ” มาเกี่ยวข้องกับ “พรรคทักษิณ” ซึ่งเดิมก็คือพรรคเพื่อไทย แต่ตอนนี้แตกสาขาออกมาเป็นพรรคไทยรักษาชาติ และพรรคเพื่อชาติ
กติกาที่ว่า คือรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 เกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง ที่มีข้อความตอนหนึ่งว่า “ต้องดําเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงําหรือชี้นําโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น”
และมาเขียนล็อกไว้ให้ชัดเจนอีกครั้งในกฎหมายพรรคการเมือง 2 มาตรา
มาตรา 28 ระบุว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
และ มาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เรียกว่า มีทั้งบังคับ “พรรคการเมือง” และบังคับ “บุคคล” คือ ทั้งห้ามไม่ให้พรรคปล่อยให้มีคนมาทำและห้ามคนไม่ให้กระทำการดังกล่าว และมีลงโทษไว้ทั้งสองส่วนเช่นกัน
บทลงโทษในส่วนตัวบุคคล คือ จำคุก 5-10 ปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น ส่วนบทลงโทษพรรค คือ “ยุบพรรค”
จากการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านๆ มา มีการนำนโยบายของทักษิณมาหาเสียงกันชัดๆ จนเกิดเป็นสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ครั้งนี้พรรคเครือข่ายทักษิณไม่สามารถทำแบบนั้นได้แล้ว
(อ่านต่อ...มาตามนัด ?? ยุบพรรคเพื่อไทยเพราะ "ทักษิณ")
การบอกว่าจะพา “ทักษิณ” กลับบ้าน จึงเป็นช่องทางที่อาจจะ “หลบเลี่ยง” ข้อกฎหมายได้
โดย “ยงยุทธ” มาอธิบายเพิ่มเติมเพื่อแสดงให้เห็นว่านี่เป็นแนวทางในการสร้างความปรองดองในชาติตามแนวทางของพรรค ซึ่งต้องแก้ที่เหตุ และเสนอให้มีการเปิดโต๊ะพูดคุยกับ “ทักษิณ”
อย่างไรก็ตาม หากใครมีข้อมูลเชิงลึก จะรู้ว่าตอนนี้ “พรรคเพื่อชาติ” กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก
เพราะหลังจาก “ยงยุทธ” และ “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำในฐานะ “กองเชียร์” อีกคนของพรรคย้ำเรื่องการสร้างพรรคเพื่อเป็นเกาะกลางให้คนที่มีความเห็นต่างกันมาอยู่ด้วยกันได้ ทำให้ “ถูกสงสัย” ในจุดยืนของพรรคว่าอยู่ตรงไหนแน่ จนทำให้เกิดกระแสในพื้นที่ว่า พรรคเพื่อชาติไม่ใช่พรรคเพื่อทักษิณ
(อ่านต่อ...เปิดจุดยืน !! จตุพร - ยงยุทธ - เพื่อชาติ - เพื่อทักษิณ ??)
หากจับสังเกตดูจะเห็นว่าช่วงหลังการพูดบนเวทีหาเสียงของเพื่อชาติจะบอกชัดเจนว่าอยู่ฝั่งไหน
เช่นล่าสุด ในการปราศรัยหาเสียงของ “จตุพร” ที่อุตรดิตถ์ เมื่อวันที่ 8 มกราคม ที่ผ่านมา เขาบอกชัดเจนว่า ที่เกิดพรรคเพื่อชาติเพราะกติการัฐธรรมนูญที่ทำให้รวมอยู่เป็นพรรคใหญ่ไม่ได้ “คะแนนเสียงที่กาให้พรรคเพื่อชาติจะนำไปรวมให้กับฝ่ายประชาธิปไตยเพื่อให้ชนะฝ่ายเผด็จการ”
(ภาพ : เฟซบุ๊ก Jatuporn Prompan - จตุพร พรหมพันธุ์ )
ถึงตอนนี้ต้องบอกว่ายุทธศาสตร์ “ขอโอกาสพาทักษิณกลับบ้านครั้งที่ 4” ของยงยุทธ สัมฤทธิ์ผลแล้ว
พรรคเพื่อชาติ สามารถทำให้ผู้คนรู้ว่าพรรคนี้คือพรรคเพื่อทักษิณ สามารถหาเสียงจาก “ทักษิณ” ได้ และที่สำคัญทำให้ “ทักษิณ” กลับมาเป็นอยู่ในโฟกัสได้แบบเนียนๆ
โดยเฉพาะเมื่อสองบิ๊กของ คสช. คือ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ และ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มาคลุกวงในอยู่ด้วย
หลัง “บิ๊กป้อม” มาคอมเมนต์เรื่องนี้่ว่าไม่เคยห้ามทักษิณกลับบ้าน “กลับมาได้ แต่ต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย” ทักษิณก็สวนกลับผ่านทวิตเตอร์จนเกิดแฮชแท็กร้อนในโซเชียล “กระบวนการยุติธรรมแบบป้อมๆ” จนทำให้ “บิ๊กป้อม” หลุดคำ “ไอ้ทักษิณ” มา และบอกให้ไปคุยกับศาล ก็เพิ่มความร้อนแรงขึ้นไปอีก
ส่วน “บิ๊กตู่” แม้จะพูดแค่ไม่กี่คำแต่ก็ทำให้เรื่อง “ทักษิณ” เป็นประเด็นพาดหัวใหญ่ในหนังสือพิมพ์วันต่อมาได้อีก
“หลักการรัฐบาลคือเจรจากับผู้หลบหนีคดีไม่ได้ ถ้าคิดว่าไม่ผิดก็กลับมาสู้คดีเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม”
สำหรับคดีของทักษิณนั้น ล่าสุดมีคดีที่อยู่ในกระบวนการพิจารณาของศาลฎีกานักการเมือง 5 คดี ได้แก่ 1.คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ 2.คดีทุจริตโครงการออกสลากพิเศษเลขท้าย 2 และ 3 ตัวหรือคดีหวยบนดิน 3.คดีทุจริตแปลงสัมปทานมือถือ–ดาวเทียม เป็นภาษีสรรพสามิต 4.คดีธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้กฤษดามหานคร และ 5.คดียื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ
ในส่วน 4 คดีแรกนั้นมีการร้องขอต่อศาลให้พิจารณาคดีลับหลังจำเลยแล้ว ซึ่งก่อนหน้านี้คดีชะงักลงเพราะไม่สามารถนำตัว “ทักษิณ” มาเข้าสู่กระบวนการพิจารณาได้ แต่ตอนหลังมีการแก้กฎหมายวิธีพิจารณาคดีของศาลฎีกานักการเมืองใหม่ทำให้สามารถเดินหน้าพิจารณาคดีได้
ที่สำคัญ หากศาลตัดสินว่าผิด และยังไม่ได้กลับมารับโทษ จะไม่มีการนับอายุความ ไม่เหมือนคดีที่ดินรัชดาฯ ที่ศาลสั่งจำคุก 2 ปี แต่มีอายุความ 10 ปี และเพิ่งหมดอายุความไปเมื่อ 21 ตุลาคม ปีที่แล้ว
นั่นหมายถึงถ้าถูกตัดสินจำคุก “ทักษิณ” อาจต้องหนีตลอดชีวิต !!
ดูคลิป
==================
สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง