ชัดเจนในที่มาของกติกาว่าเพื่ออะไร ตอนนี้ก็รอดูเพียงว่า "ดาบ" นี้จะถูกหยิบมาใช้ "ตามนัด" หรือไม่ !!??
กลับมาเป็นประเด็นอีกครั้งสำหรับกระแสการยุบพรรคเพื่อไทยเพราะ “ทักษิณ ชินวัตร” บุคคลที่ใครๆ ก็รู้ว่าคือ “เจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง”
กรณีล่าสุดเกิดขึ้นหลังจาก “ทักษิณ” ออกมาให้สัมภาษณ์ระหว่างเดินทางมาที่ฮ่องกงเมื่อวันที่ 18 ตุลาคม ที่ผ่านมา
ใจความสำคัญของการสัมภาษณ์คือ "การปกครองโดยทหารอาจถึงจุดจบ หากฝ่ายประชาธิปไตยได้ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎรรวมกันมากกว่า 300 ที่นั่ง จาก 500 ที่นั่ง รัฐบาลจะกลายเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อย ไม่สามารถผ่านงบประมาณและยังต้องเจอกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่วุฒิสภาไม่มีส่วนในการลงคะแนน รัฐบาลก็จะล่มในไม่กี่สัปดาห์ ไม่ใช่ภายในหลายๆ เดือน”
มี 2-3 คำถามเกิดขึ้นตามมา...
1.จริงหรือ? ซึ่งก็ต้องบอกว่าจริง คือถ้าฝ่ายทักษิณได้เสียงถึง 300 เสียง และ “อีกฝ่าย” ตั้งรัฐบาล เป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็อยู่ไม่ได้แน่
2.จะเป็นไปได้จริงหรือที่จะได้ 300 เสียง? โดยสรุปก็ต้องบอกว่าไม่ง่าย แต่ความจริงการที่รัฐบาลของอีกฝ่ายจะอยู่ไม่ได้ ฝ่ายทักษิณไม่จำเป็นต้องมีเสียงถึง 300 แต่มีแค่ 251 เสียง รัฐบาลก็อยู่ไม่ได้แล้ว
(อ่านต่อ...ไม่ต้องถึง 300 แค่ 251 "บิ๊กตู่" ก็อยู่ไม่ได้แล้ว !!)
3.ทักษิณมีจุดประสงค์อะไรในการพูดเรื่องนี้? ก็ต้องบอกว่าตอนนี้ “ฝ่ายทักษิณ” กำลังอยู่ในสถานการณ์ลำบาก ถูกบีบจากทั้งกติกาใหม่ที่เขียนมาเพื่อ “ตัดกำลัง” และจาก “อำนาจ” ของฝ่ายตรงข้าม ลูกพรรคอยู่ในภาวะระส่ำระสาย นอกจากยุทธศาสตร์ “พรรคเพื่อ” แล้ว การพูดเช่นนี้ก็ช่วยปลุกขวัญกำลังใจให้คนเพื่อไทยและกระตุกคนที่คิดจะออกจากเพื่อไทยได้พอสมควร
นอกจาก 3 คำถามข้างต้น สิ่งที่ตามมาอีกคือ เสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ปลุกกระแส “ยุบพรรคเพื่อไทยเพราะทักษิณ” ขึ้นมาอีกครั้ง
ความจริงทางพรรคเพื่อไทยเองก็พยายามตัดกระแสนี้โดย “ภูมิธรรม เวชยชัย” เลขาธิการพรรคเพื่อไทย ออกมาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 20 ตุลาคม ว่า "การเสนอความเห็นของท่านถือเป็นการแสดงความเห็นส่วนตัวของอดีตนายกที่มีข้อมูลและประสบการณ์ทางการเมือง เป็นความคิดเห็นที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับพรรคเพื่อไทยเพราะท่านไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย"
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันจันทร์ (22 ต.ค.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ “พี่ใหญ่แห่งคสช.” ออกมาแสดงอาการไม่สบอารมณ์ต่อการพูดของทักษิณ ซึ่งต้องบอกว่าเหมือนกับ “บิ๊กป้อม” ตั้งใจมาจากบ้านว่าจะมาพูดเรื่องนี้ ถึงขนาดต่อว่านักข่าวที่ไม่ถามถึงเรื่องนี้ และพูดออกมาเอง โดยบอกว่า กกต.ต้องพิจารณาว่าการที่ทักษิณออกมาพูดแบบนี้ผิดหรือไม่
แม้ พล.อ.ประวิตร จะบอกว่า นี่ไม่ใช่การสั่ง กกต. แต่การแสดงท่าทีขนาดนี้ก็น่าจะชัดเจนในเจตนา
“บิ๊กป้อม” ยังแสดงอาการหงุดหงิดต่อการเคลื่อนไหวของทักษิณ ที่มีกำหนดการจะไปบรรยายเรื่องการเมืองที่มหาวิทยาลัยสต๊อกโฮล์ม ประเทศสวีเดนในวันที่ 6 พฤศจิกายน นี้ด้วย โดยบอกว่าทักษิณก็เคลื่อนไหวมาตลอด 4 ปีที่ผ่านมา ซึ่งการเคลื่อนไหวก็กระทบกระทบกับทุกพรรค แถมหลุดคำว่า “พรรคเขา พรรคเรา” ออกมาด้วย จนนักข่าวต้องถามว่า “พรรคเรา คือพรรคไหน” และรอฟังคำตอบว่าจะหมายถึงพรรคพลังประชารัฐ ที่ 4 รัฐมนตรีในรัฐบาล คสช.ไปร่วมจัดตั้งด้วยหรือไม่ แต่ พล.อ.ประวิตรตอบแบบเลี่ยงๆว่า “พรรคเราก็คือ พรรครัฐบาล”
(อ่านต่อ...บิ๊กป้อม จี้ "กกต." ฟัน "เพื่อไทย")
และแน่นอน มีปฏิกิริยาจาก กกต.ออกมา
พ.ต.อ.จรุงวิทย์ ภุมมา เลขาธิการคณะกรรมการการเลือกตั้ง บอกว่า ตอนนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมข้อมูลพยานหลักฐานทั้งจากภาพถ่าย คลิป และข่าว รวมถึงความเห็นของบุคคลต่างๆเพื่อนำมาประกอบการพิจารณา ซึ่งการจะเข้าข่ายครอบงำพรรคหรือไม่ กกต.จะพิจารณาว่าพรรคการเมืองนั้นขาดความเป็นอิสระในการดำเนินกิจกรรมหรือไม่ หากเข้าข่ายความผิดจะส่งผลให้พรรคการเมืองนั้นถูกยุบ
ย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ มีกระแสเรื่องอาจจะยุบพรรคเพื่อไทยเพราะทักษิณมาเรื่อยๆ เริ่มมาตั้งแต่เมื่อต้นเดือนพฤษภาคม ที่ทักษิณ และ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” อดีตนายกฯผู้น้อง เดินทางมาที่สิงคโปร์ และมีแกนนำพรรคเพื่อไทยเดินทางไปพบ ครั้งนั้นเป็นครั้งแรกที่ทาง กกต. ออกมาเตือน พร้อมยกข้อกฎหมายมาอธิบาย
“ต้องดูว่าเข้าลักษณะ การครอบงำโดยบุคคลซึ่งไม่ใช่สมาชิกพรรคหรือกรรมการบริหารพรรคหรือไม่ เพราะตามกฎหมายพรรคการเมืองไม่ให้ดำเนินการในลักษณะดังกล่าว” คำพูดของพ.ต.อ.จรุงวิทย์ ในตอนนั้น
พลิกดูกฎหมายพรรคการเมือง หากจะมีการยุบพรรคเพื่อไทยเพราะทักษิณ มีข้อกฎหมายอยู่ตรงไหนบ้าง?
มาตราแรก คือ มาตรา 28 ระบุว่า ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอมหรือกระทําการใดอันทําให้บุคคลอื่นซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นํา กิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
ต่อมาคือมาตรา 29 ห้ามมิให้ผู้ใดซึ่งมิใช่สมาชิกกระทําการใดอันเป็นการควบคุม ครอบงํา หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคการเมืองในลักษณะที่ทําให้พรรคการเมืองหรือสมาชิกขาดความอิสระ ทั้งนี้ ไม่ว่าโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม
เรียกว่า มีทั้งบังคับ “พรรคการเมือง” และบังคับ “บุคคล” คือ ทั้งห้ามไม่ให้พรรคปล่อยให้มีคนมาทำ และห้ามคนไม่ให้กระทำการดังกล่าว และมีลงโทษไว้ทั้งสองส่วนเช่นกัน
บทลงโทษในส่วนตัวบุคคลกำหนดไว้ที่มาตรา 108 มีโทษจำคุก 5-10 ปี และปรับตั้งแต่หนึ่งแสนบาทถึงสองแสนบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และให้ศาลสั่งเพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
ส่วน “พรรคการเมือง” มีกำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 92 ว่าเรื่องนี้เป็นเหตุหนึ่งที่ กกต. สามารถยื่นศาลรัฐธรรมนูญเพื่อสั่งยุบพรรคการเมืองได้ และหากศาลรัฐธรรมนูญสั่งยุบพรรค ให้เพิกถอนสิทธิสมัครรับเลือกตั้งของคณะกรรมการบริหารพรรคการเมืองนั้น
(อ่านต่อ...ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ !! ยุบพรรคเพื่อไทย เพราะ "ทักษิณ")
สำหรับบทบัญญัติดังกล่าวที่เขียนไว้ในกฎหมายพรรคการเมืองนั้น เป็นไปตามที่กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 45 เกี่ยวกับเรื่องการจัดตั้งพรรคการเมือง โดยมีข้อความตอนหนึ่งว่า “ต้องดําเนินการโดยอิสระไม่ถูกครอบงําหรือชี้นําโดยบุคคลซึ่งมิได้เป็นสมาชิกของพรรคการเมืองนั้น”
เรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ที่เพิ่งเพิ่มขึ้นมาในรัฐธรรมนูญ 2560 ซึ่งก็ต้องบอกว่า เขียนเอาไว้เพื่อจัดการกับ “ทักษิณ” นั่นแหละ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทักษิณยังแผ่อิทธิพลเข้ามาในพรรคอย่างเปิดเผย มีการวีดีโอคอลมาร่วมประชุมอยู่เป็นระยะ ในช่วงเลือกตั้งมีการใช้ชื่อทักษิณไปหาเสียงอย่างเปิดเผย จนเกิดสโลแกน “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” แต่ไม่มีข้อกฎหมายให้เอาผิดได้
ชัดเจนในที่มาของกติกาว่าเพื่ออะไร ตอนนี้ก็รอดูเพียงว่า “ดาบ” นี้จะถูกหยิบมาใช้ “ตามนัด” หรือไม่ !!??
==================
โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์
ดูคลิป [LIVE] - เอาจริง?? ยุบพรรคเพื่อไทยเพราะ “ทักษิณ”
โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ และ สุรัตน์ อัตตะ
(อ่านต่อ...ไม่ใช่เรื่องเล่นๆ !! ยุบพรรคเพื่อไทย เพราะ "ทักษิณ")
(อ่านต่อ...พลิกกฎหมาย!! ยุบพรรคเพื่อไทย ไล่ออกจากสนาม ??)
ข่าวที่เกี่ยวข้อง