ที่ผ่านมา "มาตรา 44" แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แบบคาดไม่ถึงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และต่อไปก็ยังคงต้องมี "อื่นๆ อีกมากมาย" มาปรากฏให้เห็น
ก่อน คสช.เข้ามายึดอำนาจ สถานการณ์บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งอย่างหนัก คสช.ประกาศจะเข้ามาเพื่อแก้ปัญหาความขัดแย้ง และสร้างความปรองดองในชาติ
ผ่านมาเกือบ 4 ปีเต็ม ดูเหมือนความขัดแย้งระหว่างขั้วการเมืองจะเบาบางลง ส่วนหนึ่งเพราะถูก คสช.กดไว้ อีกส่วนหนึ่งเพราะเกิดคู่ขัดแย้งใหม่ นั่นคือ ระหว่างฝ่ายการเมืองกับ คสช.ที่วันนี้ชัดเจนแล้วว่า คสช.เปลี่ยนบทบาทตัวเองจาก “ผู้คุมกฎ” มาลงสนามเป็น “ผู้เล่น” เรียบร้อยแล้ว
ถึงวันนี้ใครๆ ก็คงจะเห็นเหมือนกัน “ฝ่าย คสช.” คือขั้วการเมืองใหม่ที่กำลังก่อตัวขึ้นมา ยิ่งนานวันก็ยิ่งชัดเจนขึ้น
ขั้วการเมืองวันนี้จึงเป็น 3 ขั้ว ซึ่งบางคนเรียกว่า 3 ก๊ก
ก๊กหนึ่งคือ เพื่อไทย หรืออาจะเรียกว่า “ฝ่ายทักษิณ” มีพรรคเพื่อไทยเป็นตัวหลัก พันธมิตรก็คือพรรคที่ประกาศตัวต่อต้าน “เผด็จการทหาร” ที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คงจะป็น “พรรคอนาคตใหม่” ที่เพิ่งได้รับการอนุมัติจาก กกต.ให้ดำเนินการจัดตั้งพรรคได้
สำหรับพรรคอนาคตใหม่ แม้จะผ่านด่านแรก คือ กกต.ให้จัดตั้งพรรคได้ แต่ก็ต้องรอดูด่านที่สองที่สำคัญ คือ คสช.จะอนุญาตให้ประชุมพรรคเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการตั้งพรรคได้หรือไม่ และจะได้เมื่อไร ทั้งนี้ตามกฎหมายแต่ละพรรคต้องดำเนินการจัดตั้งพรรคเสร็จให้เรียบร้อยภายใน 180 วันนับตั้งแต่วันที่ไปจดแจ้ง
ล่าสุดมีประมาณ 10 พรรคการเมืองที่ คสช.อนุญาตให้ประชุมได้แล้ว โดยพรรคประชาชนปฏิรูป ของ “ไพบูลย์ นิติตะวัน” ที่ประกาศสนับสนุน “บิ๊กตู่” ตั้งแต่หัววัน เป็นพรรคแรกที่จัดประชุมพรรคหลัง คสช.อนุญาตให้เป็นพรรคแรกๆ
ก๊กที่สอง คือ ก๊กประชาธิปัตย์ ตอนนี้ยังไม่ปรากฏชัดว่าจะมีใครเป็นพันธมิตรบ้าง แต่ถ้าพรรค กปปส.ของ “สุเทพ เทือกสุบรรณ” ตั้งขึ้นมาจริง ก็น่าจะเป็นพันธมิตรกันได้
แต่อย่างที่เคยบอกก่อนหน้านี้ว่า ทันทีที่ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯด้านเศรษฐกิจ แสดงท่าทีชัดเจนว่าจะ(ให้ลูกน้อง)ตั้งพรรค "หนุนประยุทธ์” ขึ้นมา และมีการต่อสายสัมพันธ์ดึงกลุ่มนั้นพรรคโน้นมาเป็นพันธมิตร สถานการณ์ของพรรค กปปส.รวมถึงพรรคประชาธิปัตย์ก็เริ่มไม่ราบรื่น
(อ่านต่อ..."สมคิด"หนุน"บิ๊กตู่"นายกฯต่อ)
เพราะจากที่ “สุเทพ” เคยหมายมั่นปั้นมือไว้ว่าจะดึงประชาธิปัตย์เข้าไปเป็นกำลังหนุน “บิ๊กตู่” แลกกับการที่ได้คุมกระทรวงด้านเศรษฐกิจ ก็เกิดความสะดุด
ว่ากันว่าตอนนี้ “สุเทพ” น่าจะเป็นคนที่อยู่ในภาวะ “กระอักเลือด” มากที่สุด เพราะลงทุนลงแรงไว้สูง แต่ดูเหมือนจะมี “ตาอยู่” มากมายเข้ามาหยิบชิ้นปลามันไปกิน แถม “ลุงกำนัน” ยังมีคดีติดตามมาอีกหนักหนา
ไม่ต่างอะไรกับชะตากรรมของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่นำโดย “สนธิ ลิ้มทองกุล”
(อ่านต่อ...ฟังชัดๆ!! "สุเทพ" ร่วมตั้งพรรค แต่ไม่รับตำแหน่งการเมือง)
ก๊กที่ 3 คือ “ก๊ก คสช.” ตอนนี้มีความพยายามอย่างออกหน้าออกตาของ “รองนายกฯ สมคิด” ในการตั้งพรรคและดึงกลุ่มก๊วนต่างๆ เข้ามา
สำหรับก๊กที่ 3 นี้ มีกองกำลังหลักรอยู่แล้ว คือ ส.ว. 250 คน ที่ตอนนี้กำลังมีปฏิบัติการพยายาม “ล็อกซ้อนล็อก” ด้วยการแก้ร่างกฎหมายที่มา ส.ว. เพื่อให้มั่นใจทั้ง 250 ส.ว.จะยกมือสนับสนุนคนของ คสช.แน่ๆ
แต่ต้องไม่ลืมว่า จุดอ่อนของ ส.ว. คือ ไม่สามารถร่วมอภิปรายและยกมือสนับสนุนรัฐบาลได้หากรัฐบาลโดนยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ 250 ส.ว.จึงทำได้แค่ ส่ง “คนของ คสช.” ขึ้นเป็นนายกฯ แต่ไม่สามารถปกปักรักษาได้
ก่อนหน้านี้จึงเคยมีความพยายามที่จะเขียนรัฐธรรมนูญกำหนดให้ ส.ว.ร่วมยกมือในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วย แต่ทำไม่สำเร็จ
ส่วนพรรคหรือกลุ่มเล็กๆ น้อยๆ อื่นๆ ก็เปรียบเสมือนก๊กเล็กๆ ซึ่งก๊กใหญ่ต้องพยายามไปกวาดต้อนรวบรวมมาอยู่ด้วยให้ได้มากที่สุด ฉะนั้นตอนนี้ก๊กไหนมีอำนาจมากที่สุด ก็จะสามารถดึงดูดก๊กเล็กก๊กน้อยมาได้มากที่สุด ซึ่งก็ต้องบอกว่า “พลังดูด” ตอนนี้ไม่มีใครเกิน “คสช.”
การดูด “ตระกูลกำนันเป๊าะ” เข้ามาร่วมทีมอย่างเป็นทางการกับ “บิ๊กตู่” เป็นปรากฏการณ์ที่หลายคนก็คงคาดไม่ถึง
(อ่านต่อ..."บิ๊กตู่"ตกเขียว"พลังชล" ดึงร่วมทำงาน ปัดดีลการเมือง?)
คนพี่ “สนธยา คุณปลื้ม” ได้ตำแหน่งเป็นที่ปรึกษานายกฯ ด้านการเมือง ส่วนคนน้อง “อิทธิพล คุณปลื้ม” ได้เป็นผู้ช่วยรัฐมนตรีท่องเที่ยวและกีฬา
เรื่องคุณสมบัติของทั้งสองคน ก็ต้องบอกว่าไม่มีปัญหา เพราะผ่านประสบการณ์การทำงานมาพอสมควร คนพี่นั้นนอกจากจะเป็น ส.ส.มาหลายสมัย ยังเป็นรัฐมนตรีมาหลายกระทรวง ทั้งกระทรวงวัฒนธรรม กระทรวงวิทยาศาสตร์ฯ กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ส่วนคนน้องเป็นอดีต ส.ส. 2 สมัย และมีดีกรีเป็นอดีตนายกเมืองพัทยา
คุณสมบัติไม่มีปัญหา แต่หลายคนก็บอก ไม่คิดว่า “ลุงตู่” จะไม่แคร์เรื่อง “ภาพลักษณ์”
รวมถึงข่าวคราวความพยายามเกี้ยวพาราสี “กลุ่มสะสมทรัพย์” ที่เคยถูกปฏิบัติการล้างผู้มีอิทธิพลของ คสช.เข้าค้นบ้านไป 2 รอบ คือเมื่อเดือนพฤษภาคม 2558 และปี 2559 เดือนเดียวกัน
วันนี้กลิ่นอายในแง่มุมผู้มีอิทธิพล จนต้องมีปฏิบัติการ “นครปฐมร่มเย็น” จางหายไป แต่กลิ่นอายของความเป็น “กลุ่มเนื้อหอม” ที่ใครก็หมายปองเข้ามาแทนที่ “ตระกูลสะสมทรัพย์”
การเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร!!
และก็ต้องไม่ลืมว่า การเมืองอะไรก็เกิดขึ้นได้ ก่อนเลือกตั้งตกลงไว้อย่าง เลือกตั้งแล้วอาจไม่เป็นไปตามนั้นก็ได้ เพราะหลังเลือกตั้งต้องมาดูตัวเลขที่แต่ละพรรคได้มา ถึงตอนนั้นเป็นเรื่องของ “เกมตัวเลข”
นั่นก็เป็นเรื่องของ 3 ก๊ก บนกระดานการเมืองตอนนี้ แต่ต้องไม่ลืมว่า “หมากเกมนี้” ไม่ได้แค่นี้ ยังมีปัจจัยอื่นอีก โดยเฉพาะอำนาจพิเศษ “มาตรา 44” ที่จะอยู่ในมือ “บิ๊กตู่” ไปจนหลังเลือกตั้ง จะหมดลงก็ต่อเมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาทำหน้าที่
ย้ำว่าวันที่ “รัฐบาลใหม่ทำหน้าที่” ไม่ใช่หลังเลือกตั้ง ไม่ใช่เมื่อเลือกนายกฯ ได้แล้ว
ฉะนั้น ยังมีอีกหลายเปลาะ...
ที่ผ่านมา “มาตรา 44” แสดงให้เห็นถึงอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์แบบคาดไม่ถึงมาแล้วนับครั้งไม่ถ้วน และต่อไปก็ยังคงต้องมี “อื่นๆ อีกมากมาย” มาปรากฏให้เห็น
มีการคิดกันเล่นๆ ว่า เกิดไปถึงช่วงก่อนเลือกตั้ง มีการใช้ ม.44 สั่งยุบพรรคบางพรรค จะเป็นอย่างไร ??
หรือหากสภาเลือกนายกฯ จากพรรคการเมืองได้ แต่ คสช.เห็นว่า “ไม่ใช่คำตอบ” แล้วใช้ ม.44 ??
อาจจะมีคำถามว่า คิดมากไปหรือเปล่า... แต่ที่ผ่านมาก็มีนับครั้งไม่ถ้วนไม่ใช่หรือที่มีเรื่อง “เกินคาด” ??
อย่าลืม ทุกอย่างต้องอยู่ในเป้าหมาย “ไม่ให้เสียของ”
อื่นๆ อีกมากมาย...เกมนี้ยังมีอะไรให้ดูอีกเยอะ!!
เรื่องโดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์ คมชัดลึกออนไลน์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง