กะเทาะเปลือก "บัญชีนายกฯพลังประชารัฐ"

 

                ได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้วว่าในบัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ จะไม่ได้มีเฉพาะชื่อ “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา” เท่านั้น แต่จะมีชื่อ “สมคิด จาตุศรีพิทักษ์” รองนายกฯ และ “อุตตม สาวนายน” หัวหน้าพรรคอยู่ด้วย

                ทั้งนี้เป็นการเสนอชื่อนายกฯ เต็มแม็กซ์ที่รัฐธรรมนูญเปิดไว้ให้

                ถึงแม้เพิ่งจะประกาศออกมาอย่างเป็นทางการวันนี้ แต่ “หลังม่าน” หลายคนพอรู้ว่าเกมนี้มีการกำหนดไว้ตั้งแต่ต้น

                “เขาคุยกันมาตั้งแต่ก่อนตั้งพรรคแล้วว่าบัญชีนายกฯ จะมี 3 คน คือ พล.อ.ประยุทธ์ สมคิด และอุตตม” แหล่งข่าวพรรคพลังประชารัฐยืนยันมาตั้งแต่ต้นจนถึงนาทีสุดท้าย

 

(อ่านต่อ...เคาะแล้ว!! "ประยุทธ์-อุตตม-สมคิด" บัญชีนายกฯพลังประชารัฐ)

 

                สแกนเข้าไปดูแต่ละคนอีกครั้ง ทำไมต้องเป็น 3 ชื่อนี้

                สำหรับชื่อ “บิ๊กตู่” การที่มีชื่อในบัญชีนายกฯ ก็เป็นไปตามที่มีข่าวมาก่อนหน้านี้ แทบจะตั้งแต่ยังไม่มีพรรคพลังประชารัฐด้วยซ้ำ

                เหตุผลของการที่ต้องมีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในบัญชีนายกฯ ก็วิเคราะห์กันไว้ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ทั้งหมดอยู่ในยุทธศาสตร์ “เพื่อไม่ให้เสียของ”

                “สมศักดิ์ เทพสุทิน” แกนนำคนสำคัญของพรรคพูดชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ไว้ชัดๆ หลายรอบ จน “บิ๊กตู่” ต้องออกมาเบรก ล่าสุดยังบอกว่าถ้าพรรคนี้ไม่มีชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ อยู่ในบัญชีนายกฯ ก็ลำบาก

                "หาก พล.อ.ประยุทธ์ ไม่ตอบรับการทาบทามจากพรรคพลังประชารัฐก็คงหาเสียงยาก และเป็นเรื่องใหญ่ที่ปรับตัวไม่ทัน เพราะตลอดการรณรงค์หาเสียงได้พูดถึงนโยบายของรัฐบาล ซึ่งพรรคเตรียมจะนำไปต่อยอดมาตลอด” สมศักดิ์ พูดไว้ระหว่างลงพื้นที่หาเสียงเมื่อวันที่ 23 มกราคม ที่ผ่านมา

                สำหรับ “สมคิด” แม้ที่ผ่านมาจะเก็บตัวเงียบเชียบ แต่ใครๆก็รู้ว่าเขาอยู่เบื้องหลังการตั้งพรรคพลังประชารัฐที่มี 4 รัฐมนตรีที่ใกล้ชิดเข้าไปร่วมก่อตั้งเปิดตัวไปเมื่อ 29 กันยายน ปีที่แล้ว

                นอกจาก “อุตตม” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมขณะนั้น หัวหน้าพรรคก็มี “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เลขาธิการพรรค “สุวิทย์ เมษินทรีย์” รัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี รองหัวหน้าพรรค และ “กอบศักดิ์ ภูตระกูล” รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ โฆษกพรรค

 

(อ่านต่อ...'สมคิด' หนุน 4 รมต.รัฐบาลประยุทธ์ลุยการเมือง)

 

                ผ่านมา 4 เดือน เมื่อวันที่ 29 มกราคม 4 รัฐมนตรียื่นหนังสือลาออกบอก “ถึงเวลาเหมาะสมที่จะลาออกแล้ว” มีผลพ้นจากตำแหน่งวันที่ 30 มกราคม

                สอดคล้องกับที่ “สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ” แกนนำคนสำคัญของพรรคพลังประชารัฐเคยออกมาให้สัมภาษณ์ไว้เมื่อตอนที่ยืนยันว่า “กลุ่มสามมิตร” ของเขาไม่มีทางไปอยู่ที่อื่น นอกจากพรรคพลังประชารัฐ

                “ผมกลับมาทำงานการเมืองใหม่ครั้งนี้ทั้งที่เลิกไปเป็นสิบปี เพราะท่านสมคิดขอให้ผมช่วย โดยท่านรองสมคิดบอกว่าต้องการทำพรรคการเมืองขึ้นมาใหม่ให้เป็นทางเลือกใหม่ของประชาชน โดยพรรคที่จะตั้งขึ้นมาใหม่จะเป็นมิตรต่อทุกพรรค จะแข่งขันกับพรรคอื่นๆ โดยเอานโยบายที่เป็นประโยชน์แก่พี่น้องประชาชน เพื่อให้ประเทศก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง หลุดพ้นจากวังวนความขัดแย้งผมร่วมทำงานกับท่านตั้งแต่ยังไม่มีชื่อพรรค” สุริยะ พูดไว้เมื่อ 4 ตุลาคม ปีที่แล้ว

 

(อ่านต่อ..."สุริยะ" เปิดสัมพันธ์ "สมคิด - พลังประชารัฐ")

 

                สุริยะ สมศักดิ์ และสมคิด มีสัมพันธ์ใกล้ชิดกันตั้งแต่เมื่อครั้งอยู่พรรคไทยรักไทยของ “ทักษิณ ชินวัตร” ด้วยกัน และสำหรับสมศักดิ์กับสุริยะ แนบแน่นกันมาก่อนหน้านั้นอีก

                สำหรับ “อุตตม” การอยู่ในบัญชีนายกฯ นอกจากเพราะเขาเป็นหัวหน้าพรรคแล้ว ยังเป็นเพราะว่าหากไม่ให้เขาอยู่ในบัญชีนายกฯ เขาจะกลายเป็นหัวหน้าพรรคคนเดียวที่ไม่ได้ยึดโยงกับการเลือกตั้ง

                เพราะ “อุตตม” ไม่สามารถลงสมัครส.ส.ได้ เช่นเดียวกับอดีตรัฐมนตรีของพรรคอีก 3 คน

                เนื่องจากรัฐธรรมนูญมาตรา 264 วรรค 4 กำหนดเงื่อนไขสำหรับผู้ที่เป็นรัฐมนตรีอยู่ในวันที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้ (6 เมษายน 2560) ว่าจะลงสมัครส.ส.ไม่ได้ เว้นแต่จะพ้นจากตำแหน่งภายใน 90 วันนับจากวันที่รัฐธรรมนูญนี้ประกาศใช้

                ย้อนกลับไปดูห้วงเวลาในการดำรงตำแหน่งของรัฐมนตรีทั้ง 4 คน

                คนแรก "อุตตม" อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมมาตั้งแต่ 15 ธันวาคม 2559 ฉะนั้นชัดเจนว่าลงสมัคร ส.ส.ไม่ได้แน่นอน

                คนต่อมา "สนธิรัตน์" อยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ตั้งแต่วันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 หลังจากรัฐธรรมนูญประกาศใช้ไปแล้ว

                แต่ถ้าย้อนกลับไปดูก่อนหน้านั้นจะพบว่าในช่วงที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เขาก็เป็นรัฐมนตรีอยู่ เพียงแต่อยู่ในตำแหน่งอื่น คือรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ ระหว่าง 15 ธันวาคม 2559-23 พฤศจิกายน 2560

                กรณีของสนธิรัตน์ จะเหมือนกับ "สุวิทย์" คือมาเป็นตำแหน่งล่าสุด คือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์หลังรัฐธรรมนูญประกาศใช้ไปแล้ว แต่ช่วงที่รัฐธรรมนูญประกาศใช้เขาก็อยู่ในอีกตำแหน่งคือรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ

                ส่วนคนสุดท้าย "กอบศักดิ์" เพิ่งเข้ามาเป็นรัฐมนตรีครั้งแรกเมื่อวันที่ 23 พฤศจิกายน 2560 แต่อดีตกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ “อุดม รัฐอมฤต” เคยให้ความชัดเจนไว้ว่าเจตนารมณ์คือไม่ต้องการให้คนที่เป็นรัฐมนตรีลงสมัคร ส.ส. ซึ่งก็รวมถึงกรณีที่เข้ามาเป็นรัฐมนตรีหลังจากนั้น แต่ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งด้วย

 

(อ่านต่อ...4 รมต.พลังประชารัฐ ไม่มีสิทธิ์สมัคร ส.ส.)

 

                ย้อนกลับมาที่บัญชีนายกฯ ของพรรคพลังประชารัฐ ทำไมต้องมี 3 ชื่อ ทั้งที่ก่อนหน้าก็มีข่าวอีกกระแสบอกว่าจะส่ง “บิ๊กตู่” เพียงชื่อเดียว เพราะไม่ต้องการให้มีปัญหา “หวาดระแวง” กันเอง

                แหล่งข่าวจากพรรคพลังประชารัฐให้เหตุผลว่า ที่ต้องเสนอ 3 คน เพราะต้องการโชว์ภาพความเป็นทีม เพื่อยืนยันว่ายังไงสมคิดก็ยังไม่เลิกเล่นการเมือง ยังจะอยู่กับ พล.อ.ประยุทธ์ ต่อไป

                อีกประเด็น คือ มีการมองข้ามช็อตไปหลังมีรัฐบาลและพล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หาก พล.อ.ประยุทธ์ เจอแรงกดดันจากฝ่ายการเมืองมากๆ ซึ่งจะแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับตอนที่เป็นนายกฯ ขณะเป็นหัวหน้า คสช.ที่มีอำนาจตามมาตรา 44 อยู่ในมือ อาจจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ รับไม่ไหว

                “หาก พล.อ.ประยุทธ์ ถอดใจลาออก ก็ยังมีคนในพรรคเป็นตัวสำรองอยู่ หากเสนอ พล.อ.ประยุทธ์ ไปเพียงคนเดียวก็ต้องไปเลือกนายกฯ จากพรรคอื่น” แหล่งข่าวกล่าว

                แม้ที่เป็นทางการจะต้องมีการส่งเทียบเชิญ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อน และ “บิ๊กตู่” พูดไว้หลายครั้งว่าจะขอตัดสินใจอีกครั้ง

                แต่มาถึงขนาดนี้ คงไม่มีอะไรพลิกโผแล้ว!!

 

==================

โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์