การสอบเข้ามหาวิทยาลัย:ทำไมต้องรีบปรับ? : โดยวิธีของเราเอง ไพฑูรย์ ธัญญา
เริ่มมีกระแสข่าวออกมาอีกแล้วว่า กระทรวงศึกษาธิการจะปรับเปลี่ยนระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ข่าวนี้ระบุว่า กระทรวงศึกษาธิการ ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการการอุดมศึกษา (สกอ.) และตัวแทนที่ประชุมอธิการบดีแห่งประเทศไทย (ทปอ.) ได้มีมติเห็นชอบร่วมกันว่า จะยกเลิกระบบสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน เพื่อลดปัญหาการวิ่งรอกสอบ ค่าใช้จ่าย และให้เด็กได้อยู่ในชั้นเรียนจบจน ม.6 ถ้าข่าวนี้เป็นจริง รับรองได้ว่าจะต้องมีปฏิกิริยาจากหลายฝ่าย ทั้งที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
ตอนที่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยของนักเรียนมัธยมปลายยังเป็นระบบเอนทรานซ์ หรือระบบการสอบรวมอยู่นั้น ก็มีข้อวิจารณ์ว่ามีปัญหาหลายอย่าง เช่น เกิดการเรียนกวดวิชามากกว่าการตั้งใจเรียนในชั้นเรียน นักเรียนไม่สนใจเรียนวิชาที่ไม่อยู่ในรายวิชาที่จะต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัย การสอบแบบนี้ทำให้เด็กเครียด และมีการทุจริตในการสอบในรูปแบบต่างๆ นักเรียนที่เรียนดีบางคนก็ไปสอบเทียบเพื่อให้ได้เข้ามหาวิทยาลัยไวๆ การสอบเอนทรานซ์ถือเป็นมหกรรมการสอบระดับชาติ ใช้กันมาหลายปี ต่อมาก็มีการปลับเปลี่ยนครั้งใหญ่ในปี พ.ศ.2542 ซึ่งเรียกกันว่า ระบบแอดมิชชั่นส์ ซึ่งเป็นระบบการสอบคัดเลือกที่ให้น้ำหนักกับผลการเรียนตลอดช่วงชั้นที่ 4 (ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย) มาพิจารณาเพิ่มขึ้น และไม่เน้นการใช้ผลคะแนนสอบเป็นหลักเหมือนกับระบบเอนทรานซ์ ตอนที่มีการประกาศใช้ สกอ.ก็มั่นใจมากว่าจะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากระบบการสอบเอนทรานซ์ได้แน่นอน
แต่ตอนนี้ กระทรวงศึกษาธิการ กับ สกอ.กำลังจะกลับไปใช้ระบบเอนทรานซ์เดิม ด้วยข้ออ้างที่ไม่ต่างจากกันนัก นั่นแสดงให้เห็นว่า การเปลี่ยนแปลงระบบการสอบที่ผ่านมาไม่ช่วยให้ปัญหาเดิมๆ ที่เคยมีอยู่หายไป แต่กลับไปสู่วังวนเดิมอีกครั้งหนึ่ง นั่นคือ เด็กก็ยังคงเครียดกับการสอบเหมือนเดิม การกวดวิชาก็เข้มข้นขึ้น ไม่เห็นจะเลิกได้สักที นักเรียน ม.6 ก็ไม่ได้เรียนตลอดหลักสูตรอย่างที่ควรเป็น แถมเพิ่มปัญหาใหม่คือ การ “วิ่งรอก” สอบ ทำให้ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น สุดท้ายก็มีการประเมินกันว่า เป็นระบบการสอบที่ล้มเหลว จึงต้องกลับไปใช้ระบบเอนทรานซ์อีกครั้งหนึ่ง ทั้งที่ตอนจะมีการเปลี่ยนนั้น ก็มีการโจมตีว่า ระบบเอนทรานซ์ไม่เวิร์ก
เอาไปเอามาก็ทำท่าจะถอยหลังเข้าคลอง วนเวียนไปมาอยู่ในวังวนของนโยบาย แนวคิดของนักการศึกษาและผู้บริการการศึกษาที่ไม่เคยสะเด็ดน้ำ พูดก็พูดเถอะ กระทรวงศึกษาธิการของเราช่างเต็มไปด้วยนักบริการการศึกษาที่ชอบคิดค้นอะไรใหม่ๆ มาปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา ผมคิดว่า แนวทางการปฏิรูปการศึกษาที่เร่งด่วนที่สุดในขณะนี้ คือ ทำอย่างไรจะให้พวกนักการศึกษาและนักบริการการศึกษา เลิกคิด เลิกทำโครงการใหม่ๆ ไอเดียใหม่ๆ สักระยะ แล้วหันมาศึกษาทบทวนสิ่งที่กำลังใช้อยู่อย่างจริงจังว่า มันดีไม่ดีอย่างไร จะแก้ไข ปรับปรุงอย่างไร ไม่ใช่คนนั้นมาทีก็เสนอโครงการนี้ที นโยบายหรือแผนงานของเราไม่เคยเสถียร บางนโยบายยังทำไปไม่ถึงไหนก็ถูกยกเลิกไปเสียแล้ว ไอ้พวกนักคิดฝันเฟื่องนี้ ไม่ควรปล่อยให้มีชีวิตอยู่อีกต่อไป เพราะมัวแต่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมานี่แหละ การศึกษาของเราเลยล้าหลังชาวบ้านอย่างที่รู้ๆ กัน สิ่งที่ควรทำกลับไม่ทำ
ยิ่งมาในยุครัฐบาล คสช. เราจะเห็นได้ว่า กระทรวงศึกษาธิการมีความเคลื่อนไหวมากเหลือเกิน มีการยกเลิกโครงการหรือนโยบายไปหลายอย่างแล้ว และเห็นแนวโน้มว่า กระทรวงศึกษาธิการในยุคทหารมีแนวคิดส่อไปในทางอนุรักษนิยม หรือ “การหวนกลับไปหาของเก่า” ทั้งที่บางอย่างที่ย้อนกลับไปนั้น มันไม่เหมาะและสอดคล้องต่อบริบทของสังคมและวัฒนธรรม ที่เปลี่ยนไปมากเหลือเกินแล้ว การศึกษาในศตวรรษที่ 21 ของเรา ทำท่าจะถูกขับเคลื่อนโดยนโยบายการศึกษาแบบ “ย้อนยุค” และ “โหยหาอดีต” เข้าทำนองตลาดน้ำอัมพวา หรือ ตลาดสามชุก อะไรไปโน่น
เรื่องการหวนกลับไปใช้ระบบสอบรวมแบบเอนทรานซ์ ผมคิดว่าไม่ใช่เรื่องที่กระทรวงศึกษาและ สกอ.จะต้องนำมาทำกันในตอนนี้ แต่ปัญหาของการศึกษาระดับอุดมศึกษาของเราก็คือ ทำอย่างไรจะทำให้มีคุณภาพเพิ่มขึ้นจนถึงขั้นแข่งขันในระดับนานาชาติได้ ทำอย่างไรให้นิสิต นักศึกษาระดับปริญญาตรี สามารถใช้ภาษาอังกฤษในฐานะภาษาที่สองได้อย่างสง่างามและเอาไปทำมาหากินได้ รวมทั้งเรื่องที่ว่า ในอนาคตเราจะทำอย่างไรให้มีนักศึกษาเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยได้ครบตามจำนวน เพราะตอนนี้เริ่มมีแนวโน้มว่า เด็กเข้าเรียนมหาวิทยาลัยน้อยลงทุกปี
ถ้ามหาวิทยาลัยมีมากเหมือนในตอนนี้ และยอดนักเรียนน้อยลงไม่ได้สัดส่วน ถึงตอนนั้นเราอาจไม่จำเป็นต้องสอบคัดเลือกอีกต่อไป ไม่ว่าจะเป็นระบบใดๆ ก็ตาม.
ข่าวที่เกี่ยวข้อง