ข่าว

สังคมคาใจไม่ฟ้อง บอส อยู่วิทยา ชน ตร.ดับ 2 พยานฟอกขาวเฟอร์รารี่ซิ่ง 80 กม./ชม.

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ลงพื้นที่สำรวจจุดเกิดเหตุ บอส อยู่วิทยา ชน ตร.ดับ สังคมคาใจไม่ฟ้อง หลัง 2 พยานฟอกขาวเฟอร์รารี่ซิ่ง 80 กม./ชม. กลับสำนวนเดิมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือที่สรุปว่ามาด้วยความเร็ว 177 กม./ชม.

ภายหลังมีการเปิดเอกสารสำนวนการสอบสวน ซึ่งเป็นหนังสือ "คำสั่งไม่ฟ้อง" ของอัยการ ในคดี นายวรยุทธ หรือ บอส อยู่วิทยา ขับรถชน ดาบตำรวจ วิเชียร กลั่นประเสริฐ เสียชีวิต เมื่อปี 2555 โดยเป็นสำนวนการสอบสวนที่ได้สอบเพิ่มเติม เมื่อปี 2562 หลังจากทนายความของนายวรยุทธยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการนั้น

จากการตรวจสอบเอกสารอย่างละเอียดของ "เนชั่นทีวี" พบว่า ในสำนวนการสอบสวนได้ปรากฏชื่อตัวละครใหม่ 2 ราย เป็นพยานปากเอกที่ทำให้อัยการใช้เป็นเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้อง บอส อยู่วิทยา ทุกข้อหา โดยพยานคนแรกเป็นบุคคลที่มียศทหารอากาศระดับนายพล แต่ไม่ชัดเจนว่าเป็นนายทหารในหรือนอกราชการ ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นพลเรือน

 

พยาน 2 ปากนี้ให้ปากคำกับตำรวจ เมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2562 อ้างว่า ขณะเกิดเหตุ บอส อยู่วิทยา ขับรถยนต์เฟอร์รารี่มาในช่องทางเดินรถที่ 3 (ชิดเกาะกลางถนน) ด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ส่วนรถของพยานเป็นรถกระบะ ขับมาในช่องทางเดินรถที่ 2 (ช่องกลาง) ขณะที่ ดาบตำรวจ วิเชียร ผู้ตาย ซึ่งเป็นตำรวจ สน.ทองหล่อ ขับขี่รถจักรยานยนต์มาในช่องทางเดินรถที่ 1 (ช่องซ้ายสุด) จากนั้น ดาบตำรวจ วิเชียร ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางเดินรถ จากช่องทางที่ 1 ผ่านช่องทางเดินรถที่ 2 ที่รถของพยานขับมา ทำให้รถของพยานต้องชะลอความเร็วและหักพวงมาลัยหลบไปทางซ้ายมือเพื่อไม่ให้ชนกับรถจักรยานยนต์ของ ดาบตำรวจ วิเชียร จากนั้นรถจักรยานยนต์ของ ดาบตำรวจ วิเชียร แล่นเข้าไปในช่องทางเดินรถที่ 3 ที่ บอส อยู่วิทยา ขับมาในระยะกระชั้นชิด ทำให้รถยนต์ที่นายวรยุทธขับมาชนท้ายรถจักรยานยนต์ของ ดาบตำรวจ วิเชียร เป็นเหตุให้ ดาบตำรวจ วิเชียร ถึงแก่ความตาย

 

จากสำนวนการสอบสวนที่มีการสั่งสอบเพิ่มเติมโดยฝ่ายตำรวจ โดยเฉพาะปากคำของพยานปากเอกทั้ง 2 ปาก จนทำให้อัยการสั่งไม่ฟ้องคดี บอส อยู่วิทยา นั้น มีข้อสังเกตสำคัญที่ทำให้สังคมคาใจอยู่ 3 ประการ คือ

1. ประเด็นความเร็วของรถ เหตุใดจึงเปลี่ยนแปลงไปจากสำนวนการสอบสวนเดิมที่ตำรวจเองส่งสำนวนพร้อมความเห็น "สมควรสั่งฟ้อง" ไปให้อัยการตั้งแต่หลังเกิดเหตุระหว่างปี 2555 - 2556 ระบุว่า บอส อยู่วิทยา ขับรถเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนด

2. จากคำให้การของพยานปากเอกทั้ง 2 ปาก ที่เพิ่งโผล่มาให้การเมื่อปลายปี 2562 หลังเกิดเหตุ 7 ปี ทำให้น่าสงสัยว่า ดาบตำรวจ วิเชียร ขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องทางจากซ้ายสุดไปขวาสุดทำไม ทั้งๆ ที่เส้นทางถนนสุขุมวิท ขาออก ที่กำลังมุ่งหน้าสู่ปากซอยทองหล่อ หรือ ซอยสุขุมวิท 55 เพื่อกลับโรงพักนั้น ดาบตำรวจ วิเชียร สมควรใช้ช่องทางซ้ายสุดอยู่แล้ว

3. พยานทั้ง 2 คน เป็นใคร มีตัวตนจริงหรือไม่

 

ทีมข่าวอาชญากรรมเนชั่นทีวีตรวจสอบข้อมูลเพิ่มเติม พบว่า สำนวนการสอบสวนในส่วนของ ความเร็วรถ ในสำนวนใหม่ที่อัยการให้ตำรวจสั่งสอบเพิ่มเติม เปลี่ยนแปลงไปจากสำนวนเดิมชนิดหน้ามือเป็นหลังมือ โดยในสำนวนเดิมที่อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง บอส อยู่วิทยา อ้างอิงผลการตรวจของกองพิสูจน์หลักฐานที่ใช้การคำนวณระยะเบรกจากรอยล้อบนพื้นถนน และการยุบตัวของโครงรถจากการชน ประกอบหลักฐานอื่นๆ จนได้ข้อสรุปว่ารถของ บอส อยู่วิทยา แล่นมาด้วยความเร็วสูงเกินกว่ากฎหมายกำหนด คือ 177 กิโลเมตรต่อชั่วโมง คำถามก็คือ เหตุใดสำนวนการสอบสวนที่สอบใหม่จึงให้น้ำหนักเฉพาะประจักษ์พยาน 2 ปาก มากกว่าผลตรวจที่เป็นวิทยาศาสตร์

 

ส่วนประเด็นคำให้การของพยานเรื่องการขับขี่รถจักรยานยนต์เปลี่ยนช่องจราจรของ ดาบตำรวจ วิเชียร ที่ทำให้เกิดข้อสงสัยว่า ผู้ตายจะเปลี่ยนช่องจราจรทำไมนั้น ทีมข่าวอาชญากรรมเนชั่นทีวีได้ลงพื้นที่สำรวจเส้นทางบริเวณจุดเกิดเหตุอีกครั้ง คือ ถนนสุขุมวิท ขาออก มุ่งหน้าพระโขนง ซึ่งเป็นฝั่งซอยเลขคี่ โดยจุดเกิดเหตุเฉี่ยวชนอยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 ในช่องทางเดินรถที่ 3 ติดกับเกาะกลางถนน โดยช่วงปี 2555 ที่เกิดเหตุนั้น สภาพถนนจุดนี้มีฝาท่อระบายน้ำอยู่ แต่ปัจจุบันนั้นไม่มีแล้ว และหลังเกิดเหตุเฉี่ยวชน รถของ บอส อยู่วิทยา ได้ลากรถจักรยานยนต์ของ ดาบตำรวจ วิเชียร ไปไกลจากปากซอยสุขุมวิท 47 ไปจนถึงปากซอยสุขุมวิท 49 ระยะทางประมาณ 200 เมตร โดยพบศพ ดาบตำรวจ วิเชียร ในช่องทางเดินรถที่ 3 ติดเกาะกลางถนน ทิ้งร่องรอยคราบน้ำมันเครื่องรถไหลยาวเป็นทางไปจนถึงหน้าบ้านของผู้ก่อเหตุ เพราะผู้ก่อเหตุขับหลบหนี ไม่ได้หยุดรถลงมาช่วยเหลือผู้ตาย

 

จากการสำรวจเส้นทางล่าสุด พบว่า เมื่อใช้เส้นทางวิ่งถนนสุขุมวิท ขาออก มุ่งหน้าไปยังพระโขนง บริเวณปากซอยสุขุมวิท 47 จะพบป้ายบอกทางอยู่ด้านบน แสดงเครื่องหมายว่าอีก 100 เมตร จะเป็นจุดกลับรถ ซึ่งจุดกลับรถจะอยู่เยื้องกับบริเวณปากซอยสุขุมวิท 49 พอดี ส่วนจุดกลับรถถัดไปอยู่บริเวณปากซอยสุขุมวิท 55 ซึ่งเป็นแยกไฟแดง หากเลี้ยวซ้ายเข้าซอยสุขุมวิท 55 จะมุ่งหน้าไป สน.ทองหล่อ ซึ่งหากพิจารณาจากเส้นทาง ก็มีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนช่องจราจรเพื่อกลับรถ แต่ประเด็นที่น่าสังเกตก็คือหาก ดาบตำรวจ วิเชียร เสร็จภารกิจแล้วกำลังจะมุ่งหน้ากลับโรงพัก เหตุใดจึงต้องกลับรถไปคนละทางกับ สน.ทองหล่อ

 

อีกประเด็นหนึ่ง คือ ตัวตนของพยานบุคคลทั้ง 2 ปาก ซึ่งกลายเป็นพยานปากเอก แต่มาปรากฏในสำนวนการสอบสวนหลังเกิดเหตุถึง 7 ปี ทำให้เกิดคำถามว่า หากเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์จริง เหตุใดจึงไม่มีการสอบปากคำตั้งแต่ช่วงหลังเกิดเหตุใหม่ๆ หากตำรวจหาตัวไม่พบ หรือเพิ่งหาตัวพบในตอนหลัง ก็น่าสงสัยว่าคำให้การยังน่าเชื่อถืออยู่หรือไม่ เนื่องจากเหตุการณ์ผ่านมานานถึง 7 ปีแล้ว (มีหลายคดีที่ส่งถึงศาล และให้น้ำหนักประจักษ์พยานค่อนข้างน้อย หากเหตุการณ์ผ่านมานานหลายปี) และคดีนี้เป็นข่าวใหญ่ครึกโครม รับรู้กันทั้งโลก เหตุใดที่ผ่านมาพยานทั้ง 2 ปาก จึงไม่แสดงตัว หรือไปพบตำรวจเพื่อให้ปากคำเสียตั้งแต่เนิ่นๆ

 

อ่านข่าว - เช็กลิสต์ บอส อยู่วิทยา ถือหุ้น 10 บริษัท เคลียร์ TCP แจงวุ่นไม่เกี่ยวข้อง

 

ทั้งนี้ ทีมข่าวเนชั่นทีวี ได้ตรวจสอบข้อมูลของพยานบุคคลทั้ง 2 ปาก จากอินเทอร์เน็ตและเฟซบุ๊กที่ใช้ชื่อตรงกับบุคคลทั้งสอง พบว่า คนที่มียศทหารอากาศโพสต์รูปครั้งสุดท้าย เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2018 หรือเกือบ 2 ปีก่อน โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่ได้ตั้งค่าเป็นสาธารณะ ขณะที่เฟซบุ๊กของพยานที่เป็นพลเรือน ระบุข้อมูลว่ามีภูมิลำเนาอยู่ที่เทศบาลนครเชียงใหม่ และมีความเคลื่อนไหวล่าสุดโพสต์รูปเมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2019 โดยเฟซบุ๊กดังกล่าวไม่ได้เปิดเป็นสาธารณะเช่นกัน

และสำหรับพยานที่มียศทหารอากาศนั้นยังพบข้อมูลว่าเป็นหุ้นส่วนของบริษัทผลิตยุทโธปกรณ์แห่งหนึ่ง เคยเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐในการผลิตรถกันกระสุน วงเงินกว่า 11 ล้านบาท เมื่อปี 2557 ด้วย

 

 

CR : ทีมอาชญากรรมเนชั่นทีวี

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ