อังกฤษส่อวิกฤติ รมช.สธ.ติดโควิด อิหร่านวันเดียว54ศพ

          สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ในหลายประเทศยังคงน่าห่วง การเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยและผู้เสียชีวิตมีมากขึ้นเป็นลำดับ

           วันที่ 11 มีนาคม รายงานจากกรุงลอนดอน แจ้งว่า นางนาดีน ดอร์รีส์ รมช.กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ได้เผยแพร่แถลงการณ์ส่วนตัวว่าเธอติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ หรือโควิด-19 และกำลังกักตัวเองอยู่ที่บ้านพัก พร้อมขอบคุณเจ้าหน้าที่สาธารณสุขทุกระดับที่ให้ความช่วยเหลือแก่เธอเป็นอย่างดี 

 

 

 

     

            ทั้งนี้ นางดอร์รีส์ เริ่มมีอาการป่วยเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ระหว่างกำลังทำงานอยู่ในกระทรวง และในช่วง 2 สัปดาห์ล่าสุดก่อนมีอาการป่วย เธอพบกับบุคคลนับร้อย รวมถึงนายกรัฐมนตรีบอริส จอห์นสัน ผู้นำสหราชอาณาจักร ซึ่งยังไม่แสดงท่าทีอย่างเป็นทางการต่อการประกาศของดอร์รีส์ ท่ามกลางความตื่นตระหนกของชาวสหราชอาณาจักร            

            ด้านนายแมตต์ แฮนค็อก รมว.กระทรวงสาธารณสุขของสหราชอาณาจักร ออกมาบอกกับประชาชน ว่า อย่าตื่นตระหนกกับเรื่องนี้ และยืนยันว่าระบบสาธารณสุขของประเทศสามารถดูแลชาวสหราชอาณาจักรจากโรคโควิด-19 ได้ ขณะที่ผู้ป่วยสะสมจากการติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ในสหราชอาณาจักรเพิ่มเป็นอย่างน้อย 382 คน แบ่งเป็น ในอังกฤษ 324 คน , สกอตแลนด์ 17 คน , ไอร์แลนด์เหนือ 16 คน และ เวลส์ 15 คน โดยมีผู้เสียชีวิตแล้ว 6 คน และรักษาหายแล้ว 19 คน

          ส่วนที่อิตาลียังคงเผชิญกับการแพร่ระบาดอย่างรุนแรงหลังจากที่รัฐบาลประกาศจำกัดการเดินทางทั่วประเทศไปเมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อเพิ่มเป็น 10,149 คนแล้ว และมีผู้เสียชีวิตเพิ่มอีก 168 คน ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มเป็น 631 คน นับเป็นตัวเลขผู้เสียชีวิตมากที่สุดตั้งแต่มีการแพร่ระบาดในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา และมีการแพร่ระบาดรุนแรงเป็นอันดับ 2 รองจากจีน

           รายงานข่าวระบุว่า สถานการณ์ทั่วไปในอิตาลีเวลานี้ตามสถานที่ต่างๆ แทบจะไม่มีผู้คน เนื่องจากรัฐบาลมีคำแนะให้ประชาชนอยู่ภายในบ้าน งดการเดินทางยกเว้นเฉพาะกรณีที่มีความจำเป็นเท่านั้น ขณะที่สถานบันเทิงและร้านอาหารก็ปิดให้บริการเร็วกว่าปกติ การจัดงานและกิจกรรมที่มีผู้คนจำนวนมากรวมทั้งการแข่งขันกีฬาต้องถูกยกเลิก

          ส่วนที่สเปนสถานการณ์ก็น่าเป็นห่วงเช่นกัน ล่าสุดพบผู้ติดเชื้อแล้ว 1,646 คนเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าในเวลาเพียง 1 สัปดาห์ และมีผู้เสียชีวิต 35 คน นายกรัฐมนตรีเปโดร ซานเชส แถลงว่ารัฐบาลจะทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมการแพร่ระบาดให้ได้  ประชาชนทุกคนมีส่วนช่วยในการควบคุมการแพร่ระบาดได้ด้วยการปฏิบัติตามคำแนะนำของทางการและผู้เชี่ยวชาญอย่างเคร่งครัด

          ทั้งนี้รัฐบาลได้ประกาศปิดโรงเรียนในหลายพื้นที่และปิดสภาอย่างน้อย 1 สัปดาห์หลังพบว่ามี ส.ส.คนหนึ่งติดเชื้อ รัฐบาลแนะนำให้ประชาชนหลีกเลี่ยงการเดินทางทั้งในและต่างประเทศ รวมทั้งห้ามจัดงานที่มีผู้คนเข้าร่วมเกินกว่า 1,000 คนในพื้นที่ซึ่งมีการแพร่ระบาด

           ขณะที่อิหร่าน จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นอีก 881 คน รวมเป็นกว่า 8,000 คนแล้ว ยอดผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้น 54 คน รวมเป็น 291 คน มากเป็นอันดับ 3 รองจากจีน และอิตาลี ทั้งนี้ อิหร่านได้พยายามควบคุมการระบาดด้วยการปิดโรงเรียน และเรียกร้องไม่ให้ผู้คนเดินทาง แต่ก็ไม่ได้มีการปิดพื้นที่ที่เป็นแหล่งแพร่ระบาดอย่างจริงจังเหมือนกับจีน และอิตาลี ขณะที่มีการพบผู้ติดเชื้อเกี่ยวเนื่องกับอิหร่านในหลายประเทศในตะวันออกกลาง อย่างเช่น อัฟกานิสถาน บาห์เรน อิรัก คูเวต ซาอุดีอาระเบีย และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ทำให้ภูมิภาคตะวันออกกลางมีผู้ติดเชื้อรวมกว่า 8,600 คน

          โฆษกกระทรวงสาธารณสุขอิหร่านเตือนว่า จำนวนผู้ติดเชื้อจะเพิ่มสูงขึ้นอีกก่อนถึงวันปีใหม่ของชาวเปอร์เซีย ในวันที่ 20 เดือนนี้ และเรียกร้องให้ผู้คนจำกัดการเดินทาง เพราะจะทำให้การควบคุมการแพร่ระบาดเป็นไปได้ยาก ด้านอยาตุลเลาะห์ อาลี คาเมเนอี ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ได้ประกาศว่าบุคลากรทางการแพทย์อย่างแพทย์ และพยาบาลที่เสียชีวิตระหว่างพยายามต่อสู้กับโรคติดเชื้อโควิด 19 เท่ากับเป็นผู้เสียสละเหมือนทหารที่สังเวยชีวิตในสงคราม ซึ่งครอบครัวจะได้รับเงินช่วยเหลือจากทางรัฐบาล

          สำหรับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ในหลายประเทศของทวีปเอเชีย โดยเจ้าหน้าที่สาธารณสุขอินโดนีเซียเปิดเผยว่ามีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 เป็นรายแรกของประเทศ โดยผู้เสียชีวิตเป็นหญิงต่างชาติอายุ 53 ปี ก่อนหน้านี้ป่วยหนักเข้ารักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล

          เจ้าหน้าที่ไม่ได้ระบุว่าผู้เสียชีวิตมาจากประเทศใด และเข้ารักษาตัวที่ไหน เพียงแต่ให้ข้อมูลว่าสถานทูตของประเทศต้นทางได้แจ้งเรื่องการเสียชีวิตและเตรียมส่งศพให้ สำหรับอินโดนีเซียขณะนี้พบผู้ติดเชื้อในประเทศแล้ว 26 คน

          มีรายงานจากประเทศเกาหลีในวันนี้(11มี.ค.)ว่า มีจำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึง 242 คน หลังเจ้าหน้าที่ตรวจพนักงานหลายร้อยคนที่ศูนย์บริการข้อมูลลูกค้า หรือคอลเซ็นเตอร์ของบริษัทประกันแห่งหนึ่ง ซึ่งพบผู้ป่วยไปก่อนหน้านี้ ซึ่งถือเป็นการกลับมามีผู้ติดเชื้อใหม่ในอัตราที่เพิ่มขึ้นอีกครั้ง หลังจากก่อนหน้านี้พบผู้ติดเชื้อใหม่ในอัตราที่ลดลงต่อเนื่องมา 11 วัน โดยเมื่อวานนี้(10มี.ค.)พบผู้ติดเชื้อใหม่เพียง 35 คน

          อย่างไรก็ตาม การพบผู้ติดเชื้อกลุ่มใหม่ที่คอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว ได้ทำให้เจ้าหน้าที่ต้องตื่นตัวอีกครั้ง โดยล่าสุดเจ้าหน้าที่พบผู้ติดเชื้อในกรุงโซลเพิ่มขึ้น 52 คน แต่ไม่ได้เปิดเผยว่ามีกี่คนที่เกี่ยวข้องเชื่อมโยงโดยตรงกับคอลเซ็นเตอร์ โดยบอกแต่เพียงว่ากำลังตรวจพนักงาน 200 คน ที่ทำงานอยู่ในชั้นเดียวกันกับที่พบผู้ป่วย และกำลังเฝ้าติดตามพนักงานทั้ง 800 คนของคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว

          ขณะที่ คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจีนเปิดเผยว่า ในวันอังคารจีนมีผู้ป่วยเพิ่มขึ้น 24 ราย จากที่ในวันก่อนหน้ามีผู้ป่วยเพิ่มขึ้นเพียง 19 ราย โดยเกือบครึ่งของผู้ติดเชื้อที่เพิ่มขึ้น มาจากผู้ที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ในจำนวนผู้ป่วย 24 ราย ที่เพิ่มขึ้นมี 10 รายเป็นผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศ ทำให้จำนวนผู้ป่วยจากต่างประเทศในขณะนี้เพิ่มเป็น 79 ราย โดยที่กรุงปักกิ่ง พบผู้ป่วยใหม่ 6 รายในวันอังคาร จากผู้ที่เดินทางมาจากอิตาลีและสหรัฐ ในขณะที่เซี่ยงไฮ้ พบผู้ติดเชื้อจากต่างประเทศ 2 ราย ส่วนมณฑลชานตง และมณฑลกานซู พบมณฑลละ 1 ราย

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

 

          ส่วนที่มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของประเทศ ซึ่งเป็นศูนย์กลางของการระบาด อัตราการติดเชื้อใหม่ยังคงทรงตัว โดยมีผู้ป่วยใหม่ลดลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 และจากความสำเร็จในการควบคุมการระบาดภายในประเทศนี้ จีนจึงหันไปเน้นความสำคัญกับผู้ป่วยที่เดินทางมาจากต่างประเทศมากขึ้น 

          สำหรับสถานการณ์ในออสเตรเลีย ทางการออสเตรเลียสั่งห้ามผู้ที่เดินทางมาจากอิตาลี พร้อมทุ่มงบประมาณจำนวน 1,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 50,000 ล้านบาทเพื่อหยุดยั้งการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ขณะที่ยอดผู้ติดเชื้อในออสเตรเลียขณะนี้อยู่ที่ 116 คน เสียชีวิตแล้ว 3 คน ในจำนวนนี้ 1 คนเป็นผู้ที่ติดเชื้อในประเทศและไม่มีประวัติเดินทางไปต่างประเทศ นอกจากนี้ ทางการออสเตรเลียยังสั่งห้ามผู้ที่เดินทางมาจากจีน อิหร่าน และเกาหลีใต้ เข้าประเทศด้วย