หนุ่มเปลี่ยวลวงหนูน้อยวัย 9 ขวบในวันเด็ก

               วันที่ 11 ม.ค.2563 ร.ต.อ.ศักดิ์ชาย กิติอุดมพันธ์ รองสารวัตร(สอบสวน) สภ.นางรอง อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ นำตัวนายสมหมาย ประดิษฐ์ อายุ 45 ปี ชาว อ.ปะคำ จ.บุรีรัมย์ และนายวิทยา วิเศษทรัพย์ อายุ 50 ชาว อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ มาสอบสวน หลังจับกุมได้เมื่อกลางดึกทีผ่านมาฐานพรากผู้เยาว์

 เนื่องจากได้ไปหลอกลวงเด็กหญิง บี (นามสมมุติ)เด็กลูกครึ่ง อายุ 9 ขวบ นักเรียนชั้น ป.3 ชาว ต.สะเดา อ.นางรอง ซ้อนรถจักรยานยนต์ ออกไปจากหมู่บ้านช่วงเวลาประมาณ 20.00 น.(10 ม.ค.)ที่ผ่านมา ตำรวจตั้งข้อหาพรากผู้เยาว์ โดยทั้งสอง ให้การรับสารภาพว่าได้พาเด็กออกจากหมู่บ้านไปอีกหมู่บ้านหนึ่งจริง แต่ไม่ได้กระทำอันตรายกับเด็ก

สอบถามนางทรัพย์ แสนคะนึง อายุ 63 ปี ยายผู้เลี้ยงดูน้องบี เล่าว่า แม่เด็กไปทำงานต่างจังหวัด เมื่อคืนที่ผ่านมา ในหมู่บ้านมีงานทำบุญกระดูกของชาวบ้าน ตนพาหลานไปช่วยงานในตอนเย็นจนถึงกลางคืน

เมื่อเวลาประมาณ 21.00 น.จะกลับบ้านแต่หาหลานไม่เจอ จึงแจ้งให้ผู้ใหญ่บ้านทราบ จากนั้นชาวบ้านก็ออกช่วยกันตามหา จนกระทั่งเวลา 23.00 น. ได้มีชายสองคน คือผู้ต้องหา พาหลานมาส่งที่งาน ผู้ใหญ่บ้านจึงควบคุมตัวไว้ ก่อนจะแจ้งตำรวจให้มาตรวจสอบ แล้วนำตัวไปสอบสวน

ขณะ ด.ญ.บี เล่าว่า ตนเล่นกับเพื่อนในงานบุญกระดูก ได้มีชาย 2 คน เอาแบงค์พันมายื่นให้ บอกว่าจะยกให้เป็นของขวัญวันเด็ก แต่มีข้อแม้ต้องไปซื้อของด้วยกัน ตนจึงรับเงินและซ้อนท้ายรถมอเตอร์ไซค์ไปกับชายทั้งสอง รวมเป็นซ้อน 3 คน

เมื่อไปถึงร้านค้าอีกหมู่บ้านหนึ่ง ชายทั้งสอง ได้ขอเงินแบงค์พันคืน แล้วซื้อขนมและเมล็ดแตงโมให้ โดยทั้งสองยังซื้อเหล้าขาวมาด้วย จากนั้นก็พาตนกลับมาส่งที่งาน

ด้านนายภัทราวุฒิ อาจปานกล้า อายุ 49 ปี ผู้ใหญ่บ้านหมู่ 13 ต.สะเดา กล่าวว่า หลังทราบข่าวว่า เด็กหาย ก็ได้ประกาศให้ชาวบ้านช่วยกันออกตามหา แต่ไม่เจอ จึงโทรศัพท์แจ้งตำรวจ สภ.นางรอง ให้มาตรวจสอบ จนกระทั่งมีคนชายสองคนเอาเด็กมาส่ง จึงกักตัวเอาไว้ก่อน

ผู้ใหญ่บ้านกล่าวด้วยว่า จากการคำนวณระยะเวลา ที่เด็กออกไปเมื่อเวลาประมาณ 20.00 น.แล้วไปซื้อของต่างหมู่บ้านระยะทางประมาณ 4 กม. แต่ใช้เวลาถึง 3 ชม. และเด็กกลับมีมีสภาพผมยุ่ง ถึงแม้เด็กจะบอกว่าชายทั้งสอง ไม่ได้ทำอะไร

แต่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบ ทั้งนี้จะให้กระบวนการทางกฎหมายตรวจสอบให้ละเอียดอีกครั้ง ส่วนข้อหาพรากผู้เยาว์ เป็นข้อหาเบื้องต้นที่ตำรวจกล่าวหา หากพบว่ามีความผิดด้านอื่นก็จะดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมจนถึงที่สุด

ภาพ/ข่าว ธีรยุทธ ชำนาญกอง ผู้สื่อข่าว จ.บุรีรัมย์