ข่าว

จับตาธุรกิจโรงหนังความเปลี่ยนแปลงยุคหลัง โควิด-19 ฮอลลีวูดคัมแบ็กหรือไม่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

โรงหนังสหรัฐฯ เตรียมต้อนรับลูกค้าอักครั้ง 30 ก.ค. นี้ จับตาความเปลี่ยนแปลงธุรกิจยุคหลัง โควิด-19 ฮอลลีวูดคัมแบ็กหรือไม่

หลังโรงหนังในสหรัฐฯ และจีนต้องปิดทำการอย่างยาวนาน สืบเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ 2019 หรือ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โรคโควิด-19 (COVID-19) แต่ก็เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัว คนในภาคธุรกิจวางแผนเปิดโรงภาพยนตร์อีกครั้ง และต่างเห็นตรงกันว่ายังเร็วเกินไปที่จะประเมินความเสียหายถาวรที่เกิดขึ้น

“ผู้จัดการโรงภาพยนตร์ทั่วสหรัฐฯ ของเรา … กลับเข้าทำงานที่โรงภาพยนตร์อีกครั้งเพื่อเตรียมพร้อมต้อนรับลูกค้าในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้” อดัม อารอน ซีอีโอของเอเอ็มซี (AMC Theaters) บริษัทโรงภาพยนตร์ประเภทหลายสาขารายใหญ่ที่สุดของสหรัฐฯ กล่าวในแถลงการณ์เมื่อวันที่ 30 มิ.ย. “และวันอันแสนสุขที่เราจะสามารถต้อนรับบรรดาแขกกลับสู่โรงภาพยนตร์ของเราในสหรัฐฯ อีกครั้ง คือ วันพฤหัสบดีที่ที่ 30 ก.ค.”

 

เมื่อกล่าวถึงการเลื่อนฉายภาพยนตร์ฮอลลีวูด 2 เรื่อง ที่คาดว่าจะสามารถกวาดรายได้สูงสุด ได้แก่ “เทเน็ต” (Tenet) ของ คริสโตเฟอร์ โนแลน และ มู่หลาน (Mulan) ไลฟ์แอกชันจากดิสนีย์ อารอน ระบุว่า เอเอ็มซียังคงเฝ้ารอวันที่โรงภาพยนตร์ในเครือจะกลับมาเปิดทำการอีกครั้ง ขณะเดียวกันก็พยายามปฏิบัติตามขั้นตอนด้านความปลอดภัยป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโรคโควิด-19

เอเอ็มซี เลื่อนกำหนดเปิดโรงหนังราว 600 แห่งในสหรัฐฯ จากกลางเดือนกรกฎาคมไปเป็นวันที่ 30 ก.ค. ส่วนโรงภาพยนตร์บางแห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่เสี่ยงต่ำของจีนได้กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้งเมื่อวันจันทร์ (20 ก.ค.) ที่ผ่านมา พร้อมนำภาพยนตร์ชื่อดังที่คั่งค้างออกมาฉาย รวมถึงภาพยนตร์จากฮอลลีวูดอย่าง “โซนิก เดอะ เฮ็ดจ์ฮอก” (Sonic the Hedgehog) “ดูลิตเติล” (Dolittle) และภาพยนตร์ที่ได้รับรางวัลออสการ์อย่าง “ฟอร์ด วี เฟอร์รารี” (Ford v Ferrari) “1917” และ “โจโจ แรบบิต” (Jojo Rabbit)

 

ข่าวดีจากฝั่งจีนทำให้ฮอลลีวูดรู้สึกสบายใจขึ้นมาบ้าง แม้จะรู้ว่าโรงหนังส่วนใหญ่ของจีนยังไม่เปิดทำการ หลังเริ่มกลับมาเปิดให้บริการบางส่วนเป็นเวลาสั้นๆ ช่วงกลางเดือนมีนาคม

ไม่มีตลาดใดจะสามารถแทนที่ตลาดขนาดยักษ์ของจีนได้ แม้จะเกิดปรากฏการณ์ใหม่ในสหรัฐฯ เมื่อโรงภาพยนตร์กลางแจ้งแบบไดรฟ์-อิน ที่เคยได้รับความนิยมช่วงทศวรรษ 1950 - 1960 กลับมาเปิดให้บริการอีกครั้ง โดยผู้ชมสามารถดูภาพยนตร์กลางแจ้งบนจอภาพขนาดยักษ์และนั่งอยู่ในรถยนต์ของตนอย่างปลอดภัยจากไวรัสโรคโควิด-19 แต่สหรัฐฯ ไม่มีโรงภาพยนตร์กลางแจ้งเช่นนี้ในจำนวนมากพอที่จะทำให้ภาพยนตร์ชื่อดังสามารถโกยรายได้บ๊อกซ์ออฟฟิศสูงถึง 500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 1.5 หมื่นล้านบาท) ได้

 

“การนั่งดูภาพยนตร์อยู่ในโรงปิดที่ไม่มีหน้าต่างทำให้รู้สึกอึดอัด” มาร์ก คาร์เซน ประธานบริษัทเรลิชมิกซ์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว เมื่อวันอังคาร (21 ก.ค.) “โรงภาพยนตร์แบบไดรฟ์-อิน จึงกลับมาเป็นที่นิยมอีกครั้ง แต่กว่าฟ้าจะมืดก็ 21.00 น. แล้ว คุณไม่สามารถดันยอดขายบัตรของภาพยนตร์ใหม่ๆ ผ่านโรงหนังกลางแจ้งได้ มันจึงเหมาะสำหรับภาพยนตร์วินเทจมากที่สุด”

เรลิชมิกซ์ (RelishMix) บริษัทวิเคราะห์แพลตฟอร์มเชิงสังคมหลายรูปแบบของฮอลลีวูด ทั้งภาพยนตร์ รายการโทรทัศน์ และสตรีมมิง โดยเป็นผู้ติดตามผลและยกระดับการมีส่วนร่วมของสังคมต่อภาพยนตร์หรือรายการออกใหม่

การปิดโรงภาพยนตร์แบบดั้งเดิมอย่างยาวนานเนื่องจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ส่งผลกระทบเป็นระลอก ทำให้บริษัทภาพยนตร์และโรงภาพยนตร์ขนาดเล็ก - กลาง จำนวนมากในทั่วโลกต้องปิดตัวลง และจะยิ่งส่งผลกระทบรุนแรงหากโรงภาพยนตร์ยังไม่สามารถกลับมาเปิดให้บริการได้ในฤดูใบไม้ร่วง

 

แรนซ์ พาว ประธานของอาร์ทิซาน เกตเวย์ (Artisan Gateway) บริษัทที่ปรึกษาด้านภาพยนตร์และโรงหนังชั้นนำของเอเชีย กล่าวในงานแถลงข่าวช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ว่า “เนื่องจากยังไม่มีการยืนยันกำหนดการเปิดอุตสาหกรรมโรงภาพยนตร์อีกครั้ง จึงยังไม่สามารถกำหนดวันฉายภาพยนตร์ใหม่ได้ ภาพยนตร์ชื่อดังที่ประชาชนจำนวนมากตั้งตาคอยจะเป็นตัวบ่งชี้ที่สำคัญ ว่าอุตสาหกรรมนี้จะสามารถฟื้นตัวได้อย่างไร ตอนนี้เราอยู่ในฤดูร้อนและเราเสียโอกาสส่วนหนึ่งของฤดูกาลนี้ไปแล้ว”

พอล เดอร์การาเบเดียน (Paul Dergarabedian) จากคอมส์คอร์ องค์กรชั้นนำด้านการวิเคราะห์และประเมินสื่อรายงานว่า “จีนช่วยชีวิตภาพยนตร์มาแล้วหลายครั้ง มีภาพยนตร์บางเรื่องที่ทำยอดขายไม่ดีนักในทวีปอเมริกาเหนือ แต่มีผู้เข้าชมจำนวนมากในต่างประเทศ โดยเฉพาะในจีน”

 

โดก ครึตส์ นักวิเคราะห์อุตสาหกรรมของโคเวน (Cowen) วาณิชธนกิจข้ามชาติของสหรัฐฯ ให้สัมภาษณ์กับ เดอะ ฮอลลีวูด รีพอร์ตเตอร์ ว่า “ตอนนี้เราคาดว่าโรงภาพยนตร์ส่วนมากของประเทศจะปิดทำการไปจนถึงกลางปี 2021 เราไม่คิดว่าจะมีบริษัทไหนจะปล่อยภาพยนตร์ใหญ่ๆ ออกมาในช่วงที่มีการควบคุมการเข้าชมภาพยนตร์แบบนี้”

หากโรงหนังต้องปิดแบบไม่มีกำหนด จะเกิดผลกระทบทางเศรษฐกิจร้ายแรงต่ออุตสาหกรรมภาพยนตร์ทั้งหมดตั้งแต่บริษัทเล็กๆ จนถึงกิจการรายใหญ่ คนในอุตสาหกรรมหวังว่ายักษ์ใหญ่ด้านออนไลน์ สตรีมมิง เช่น เน็ตฟลิกซ์ หรือ อ้ายฉีอี้ จะสามารถพยุงอุตสาหกรรมบันเทิงไว้ได้ขณะที่อุตสาหกรรมต้องปรับรื้อโครงสร้างครั้งใหญ่

 

ตัวอย่างของการเปลี่ยนแปลงเริ่มปรากฏแล้ว เห็นได้จากเดิมทีดิสนีย์วางแผนฉายภาพยนตร์ “แฮมิลตัน” (Hamilton) ของลิน - มานูเอล มิแรนดา ในโรงหนังทั่วโลก แต่เมื่อไม่สามารถคาดเดาได้ว่าโรงภาพยนตร์จะกลับมาเปิดให้บริการเมื่อใด ดิสนีย์จึงนำมาฉายทางออนไลน์แทน ทำให้แพลตฟอร์มดิสนีย์พลัส (Disney+) หรือบริการสตรีมมิงจากดิสนีย์ทำเงินจากค่าสมัครสมาชิกเพิ่มกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 3.1 พันล้านบาท)

พอร์เตอร์ บิบบ์ อดีตผู้สื่อข่าวของนิวส์วีก (Newsweek) ผู้ตีพิมพ์นิตยสารโรลลิง สโตน และผู้สร้างภาพยนตร์ ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัว เมื่อวันจันทร์ (20 ก.ค.) ว่า กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ขึ้น “จะมีภาพยนตร์ใหญ่ๆ หลายเรื่องมากขึ้น ที่ไม่เปิดตัวตามโรงภาพยนตร์แบบเดิม แต่เปลี่ยนไปฉายทางสตรีมมิง … แม้แต่โรงภาพยนตร์ใหญ่ๆ”

 

บิบบ์ กล่าวชมบริษัทจีนที่สรรหาวิธีเชิญชวนให้ผู้ชมกลับไปใช้บริการโรงหนังอีกครั้งได้อย่างน่าสนใจ เช่น การจัดรายการถาม - ตอบทางออนไลน์กับบรรดานักแสดงทันทีที่ภาพยนตร์จบลง

“นั่นเป็นวิธีที่แปลกใหม่มาก” บิบบ์ กล่าวพร้อมยิ้ม “ผู้ชมจะไปที่โรงภาพยนตร์เพื่อเข้าร่วมการถาม - ตอบกับนักแสดง”

 

อ่านข่าว - การศึกษาชิ้นใหม่ โควิด-19 อิตาลีและรัสเซีย ไวรัสไม่ได้แพร่มาจากจีน

 

โรงหนัง, โควิด-19

 

(แฟ้มภาพซินหัว : ประชาชนในโรงหนังแห่งหนึ่งของนครอู่ฮั่น เมืองเอกของมณฑลหูเป่ยทางตอนกลางของประเทศจีน เมื่อวันที่ 20 ก.ค. 2020)

 

CR : จูเลีย เพียร์เรอร์พอนต์ (Julia Pierrepont) , xinhuathai.com

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ