ข่าว

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

พรรคการเมืองแห่ประชันนโยบายผลักดันตลาดหุ้นไทย "สุวัจน์"แนะอนาคตควรยึดเกษตรฯ-ท่องเที่ยว อีสานหลุดพ้นจน ด้าน"อุตตม"ชี้ ตลาดทุนมีบทบาทต่อธุรกิจเล็ก-กลาง-เอสเอ็มอี

         เมื่อวันที่ 25 มกราคม 2562 สภาธุรกิจตลาดหุ้นไทย (FETCO) ได้จัดสัมนาขึ้นในหัวข้อ "นโยบายเศรษฐกิจและตลาดทุนไทยภายใต้รัฐบาลหลังเลือกตั้ง"  โดยมีนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย เป็นผู้ดำเนินการอภิปราย  และมีตัวแทนจากพรรคการเมือง 7 พรรค มาร่วมประชันวิสัยทัศน์ ในหัวข้อดังกล่าว ได้แก่ นายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา นายพิชัย นริพทะพันธ์ุ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ นายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการคณะนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย นายอนุทิน ชาญวีรกุล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย และดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ที่จัดขึ้น ณ หอประชุมศาสตราจารย์สังเวียน อินทรวิชัย ชั้น7 อาคารตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) 

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

 

       นายไพบูลย์ ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ระบุว่า งานสัมนาในวันนี้จะแบ่งคำถามออกเป็น 3 รอบ 3 ประเด็นหลักด้วยกัน คือ ความเชื่อมั่นในตลาดทุน นโยบายของพรรค และเรื่องสังคมผู้สูงอายุ พร้อมมีคำถามพิเศษ 1 คำถาม ทั้งระบุว่า ทางสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) คาดว่าจะมีเม็ดเงินสะพัดกว่า 5 หมื่นล้านบาท แล้วหลังเลือกตั้งหรือช่วงที่ได้รัฐบาลใหม่ ประมาณเดือนเมษายน 2562 จะมีเงินทุนจากนักลงทุนต่างชาติไหลกลับเข้าตลาดหุ้น หรือนักลงทุนต่างชาติกลับมาซื้อสุทธิหุ้นไทยในตลาดหุ้นไทยประมาณ 100,000 ล้านบาท หลังจากช่วง 5 ปีที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิกว่า 600,000 ล้านบาทซึ่งความกังวลของนักลงทุนไม่ได้อยู่ที่ว่าพรรคการเมืองใดจะขึ้นมาเป็นรัฐบาลใหม่ แต่ขึ้นอยู่กับการสานต่อนโยบายการบริหารงาน ว่าจะเกินปีครึ่งหรือไม่ 

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

       นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานที่ปรึกษาพรรคชาติพัฒนา กล่าวว่า ตนมองว่าอนาคตควรยึดการเกษตรกับการท่องเที่ยวเป็นเรื่องเศรษฐกิจหลักของประเทศ ดังนั้น จะต้องปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านท่องเที่ยว ยกตัวอย่างเช่น ภูเก็ต ที่มีการลดภาษีการจอดเรือยอร์ช ทำให้มีท่าเรือยอร์ชหลายแห่งนำมาสู่แหล่งรายได้ที่สำคัญ ขณะที่ฝั่งอ่าวไทยอย่าง เกาะสมุย จ.สุราษฎร์ธานี ไม่มีท่าเรือยอร์ชแม้แต่แห่งเดียว ทั้งที่เป็นแหล่งท่องเที่ยว ซึ่งถ้าทำได้จะมีเรือยอร์ชจากทั่วโลกมาจอด และให้นำวัฒนธรรมมาเป็นจุดขายในการท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม ส่วนการให้ความสำคัญกับโซนนิ่งการเกษตร จะส่งเสริมให้มหาวิทยาลัยมาวิจัย และพัฒนาอุตสาหกรรมการเกษตร ทำให้การเกษตรเป็นกระดูกสันหลังของชาติอย่างแท้จริง

        นอกจากนี้ จะทำอย่างไรให้อีสานหลุดพ้นจากความยากจน เพราะภาคอีสานเป็นภาคที่ยากจนที่สุด ที่สำคัญพื้นที่ภาคอีสานเป็นภาคเดียวที่มีความเป็น International เพราะเชื่อมกับแม่น้ำโขงและอินโดจีน ดังนั้นจะต้องเชื่อมโยงสู่อินโดจีนให้มากขึ้น เป็นการบูมอีสาน พร้อมทั้งสร้างมอเตอร์เวย์จากอีสานออกสู่ทะเล เชื่อมกับโครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก ถ้าทำได้จะแก้ไขความยากจนทั้งประเทศได้ นายสุวัจน์ กล่าว

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

     ดร.อุตตม สาวนายน หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ตลาดทุนสามารถมีบทบาทต่อธุรกิจขนาดกลาง เล็ก และเอสเอ็มอีได้ ถ้าคิดถึงและทำให้จริงจัง ซึ่งกองทุนที่จะไปลงทุนในวิสาหกิจชุมชนตั้งแต่สตาร์ทอัพถึงเอสเอ็มอี จะต้องมีการผลักดันให้เกิดการต่อยอดเป็นกองทุนรวมขนาดใหญ่ และนำไปลงทุนในกองทุนเล็ก เพื่อสนับสนุนการเติบโตอย่างยั่งยืนของผู้ประกอบการดังกล่าว

         นอกจากนี้ ต้องปลดล็อคศักยภาพของตลาดทุน เพราะเป็นมันสมองของประเทศ ความร่ำรวยอยู่ที่ตลาดทุนมหาศาล หากปลดล็อคนำมาใช้ข้างนอกบ้าง จะทำให้ตลาดทุนเองเติบโตอย่างยั่งยืน ขณะเดียวกัน อยากให้ตลาดทุนร่วมกันผลิตที่ปรึกษาทางการเงิน (เอฟเอ) โดยใช้กลไกจากกองทุนพัฒนาตลาดทุน ให้ออกไปช่วยผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กบ้าง เพราะบางรายยังคงต้องการความช่วยเหลือในการฟื้นฟูกิจการ และยังมีศักยภาพดีอยู่          พร้อมระบุ การกำหนดนโยบายนั้นต้องมององค์รวมนโยบายนั้นต้องยึดโยงกัน เพื่อให้เกิดประโยชน์กับคนไทยที่ครอบคลุม พรรคจึงมี 3 พันธกิจ โดยภายใต้แต่ละพันธกิจนั้นจะมีนโยบายที่สอดรับกัน ซึ่งพันธกิจทั้ง 3 คือ คือ 

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

       1.สวัสดิการประชารัฐ ไม่ใช่การแจกแต่เป็นการที่จะทำให้คนไทยมีในสิ่งที่ควรจะมี โอกาสที่ควรจะมี เป็นการแก้ไขความเหลื่อมล้ำ เช่น สาธารณสุข การศึกษา ให้คนไทยมีสวัสดิการที่เท่าเทียมกัน มีความมั่นคงด้านรายได้ เป็นหลักประกันในชีวิตให้คนไทย 

         2.เศรษฐกิจประชารัฐ สร้างประเทศก้าวหน้าต่อไปอย่างสมดุล ในภาคการผลิตภาคอุตสาหกรรมต้องมีเทคโนโลยีดิจิทัลเขามาในภาคการเกษตร ทำอย่างไรให้เทคโนโลยีเข้าถึงคนไทยอย่างกว้างขวางและรวดเร็ว ซึ่งเทคโนโลยีดิจิทัลจะทำให้การเกษตรปรับโฉมได้ไปสู่การเกษตรที่เพิ่มมูลค่าและยั่งยืน การกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค ซึ่งต่างกับการกระจายอำนาจ เพราะถ้ากระจายอำนาจให้อำนาจไปความเจริญก็ไม่เกิด ดังนั้น ต้องนำเศรษฐกิจเข้าสู่ชุมชน ขยาย 30 เมืองน่าอยู่ นอกจากมีโครงการ EEC จะมี SEC ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคใต้ เชื่อมโยงสู่เพื่อนบ้านกระจายความเจริญที่มีแผนและเป้าหมาย 

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

        3.สังคมประชารัฐ สร้างคนไทยให้พร้อมศตวรรษที่ 21 บทบาทตลาดทุนมีส่วนในการเตรียมคนไทย ตลาดทุนต้องฝังอยู่ในการศึกษาตั้งแต่มัธยมเป็นอย่างน้อย 

       นายพิชัย นริพทะพันธุ์ ประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ ระบุว่า นโยบายเศรษฐกิจของไทยหลังการเลือกตั้ง ควรต้องมุ่งเน้น 3 ด้าน  

       1. การนำประเทศไทยให้ก้าวทันโลก หลังจากล้าหลังมาหลายปี และต้องก้าวนำเพื่อกำหนดอนาคตประเทศล่วงหน้าเองถ้าทำได้ ซึ่งโลกมีการเปลี่ยนแปลงเร็วมาก โดยเฉพาะทางเทคโนโลยี ทำให้เกิด disruption ในวงการธุรกิจอย่างมากมาย และตลอดเวลา เช่น ธนาคารต่างๆ ต้องปิดหลายสาขา เป็นต้น แม้คนส่วนใหญ่จะรับรู้เรื่องนี้น้อย และอาจเห็นว่าเป็นเรื่องไกลตัว แต่คนในวงการตลาดหลักทรัพย์จะทราบดี ว่าทุกอย่างจะเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ดังนั้นการพัฒนาประเทศเพื่อเตรียมรองรับการเปลี่ยนแปลงจึงเป็นเรื่องที่สำคัญมาก  

      2. การรับมือกับปัญหาของประเทศไทย เช่น ปัญหาการเจริญเติบโตที่ต่ำมาหลายปีติดกัน แถมยังไปกระจุกตัว ปัญหาความเหลื่อมล้ำ ปัญหาสังคมสูงวัย ปัญหาการว่างงานที่จะสูงขึ้นจากเทคโนโลยีใหม่ เช่น Ai และ Robotic ปัญหาการผูกขาดทางเศรษฐกิจ เป็นต้น  

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

      3. การนำประเทศไทยกลับไปเป็นศูนย์กลางของอาเซียน โดยมีแนวทาง Regional integration ที่จะเชื่อมต่อประเทศเพื่อนบ้านให้มีการพัฒนาเศรษฐกิจร่วมกัน  

        ทั้งอยากเห็นตลาดหลักทรัพย์ของไทยมีส่วนร่วมในการพัฒนาและแก้ปัญหาเหล่านี้ โดยอยากให้คนส่วนใหญ่ของประเทศได้รับประโยชน์จากตลาดหลักทรัพย์ด้วย ไม่ใช่เฉพาะเศรษฐีและคนชั้นกลางเท่านั้น และการเป็นแหล่งระดมทุนให้กับบริษัท startup ทางเทคโนโลยีที่จะเกิดขึ้นใหม่ การเป็นแหล่งสร้างรายได้ให้กับกลุ่มผู้สูงอายุ โดยในเมื่อรัฐยังไม่สามารถช่วยเหลือกลุ่มคนสูงวัยที่เกษียณอายุได้ รัฐจึงไม่ควรเก็บภาษีจากเงินออกจากงานเพราะผู้เกษียณอายุต้องอาศัยเงินนี้ไปอีกนาน 

        พร้อมบอกว่า อยากเห็นแนวคิดการเชื่อมต่อกับตลาดหลักทรัพย์อื่นๆในอาเซียน ตลอดจนเป็นศูนย์กลางการระดมทุนให้กับบริษัทดีๆในอาเซียนโดยเฉพาะใน CLMV เพื่อประเทศไทยจะได้เป็นศูนย์กลางทางตลาดทุนของอาเซียน อยากเห็นตลาดหลักทรัพย์ปรับบทบาทเพื่อรองรับการพัฒนาประเทศตามแนวทางนี้ เพื่อสนับสนุนนโยบายของรัฐบาลหลังการเลือกตั้งประธานคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคไทยรักษาชาติ กล่าว

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

       นายกรณ์ จาติกวณิช ประธานกรรมการคณะนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ระบุว่า ภายในช่วง 4 ปีหลังจากนี้ พรรคประชาธิปัตย์ได้กำหนดนโยบายที่สำคัญด้านเศรษฐกิจไว้ 5 เรื่องด้วยกัน คือ 

        1. การผลักดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย เติบโตขึ้นแตะระดับ 2,500 จุด เพื่อเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงเศรษฐกิจของประเทศที่มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเศรษฐกิจในอีก 4 ปีข้างหน้าทางพรรคเห็นว่า จะมาจากกำลังซื้อของประเทศคู่ค้าและประเทศเพื่อนบ้านที่มีเศรษฐกิจขยายตัวสูงขึ้น ประเทศไทยจำเป็นที่จะต้องปรับตัวใช้ประโยชน์ร่วมกัน 

         2. ตั้งเป้าบริษัทจดทะเบียน (บจ.) ที่มีผลประกอบการที่มาจากการค้ากับต่างประเทศ มีสัดส่วนรายได้จากต่างประเทศเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 50%

        3. อยากเห็นรายได้ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี มีสัดส่วนที่สูงขึ้น

       4.พิจารณาเรื่องบจ.ที่รัฐวิสาหกิจมีอำนาจผูกขาด

       5.เพิ่มตลาดหลักทรัพย์ฯ แห่งที่ 2 หรือตลาดซื้อขายสินทรัพย์ดิจิตอล(คริปโทเคอร์เรนซี)

       พร้อมชูนโยบาย แก้จน สร้างคน สร้างชาติ ของพรรคประชาธิปัตย์ โดยเสนอให้มีการประกันรายได้ ซึ่งนโยบายดังกล่าวเคยใช้มาแล้วกับภาคการเกษตรช่วงที่เป็นรัฐบาล และพิสูจน์มาแล้วว่าทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั้น จะขยายประกันรายได้ให้กับผู้ใช้แรงงานด้วย โดยไม่ผลักภาระค่าแรงไปที่นายจ้างเพียงอย่างเดียว จึงนำแนวคิดประกันรายได้มาใช้กับผู้ใช้แรงงาน ขีดเส้นรายได้ที่ 120,000 หมื่นบาทต่อปี ใครที่มีรายได้ต่ำกว่านี้ รัฐจะจ่ายส่วนต่างให้ รวมถึงสนับสนุนปัจจัยการผลิตให้มีโฉนดสีฟ้า และขยายพื้นที่ชลประทานให้ทั่วถึง

        "ส่วนการสร้างคน ทำให้เข้าถึงการศึกษาที่มีมาตรฐานที่ดีอย่างทั่วถึง เริ่มต้นตั้งแต่เด็กแรกเกิด เกิดปั๊บรับสิทธิเงินแสน ซึ่งการลงทุน 2-3 ปี แรกคุ้มค่าต่อการลงทุน เพิ่มทักษะให้กับเด็กไทย ให้เด็กไทยพูดภาษาอังกฤษได้ สร้างชาติจะมีการกระจายอำนาจด้านการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัด กระจายอำนาจออกจากกระทรวงศึกษาธิการ กระจายความเจริญออกจาก กทม. 10 มหานคร" นายกรณ์ กล่าว

7 พรรคการเมืองประชันนโยบายเศรษฐกิจ-ตลาดทุนไทย

         นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า จากการทำงานของพรรคเพื่อไทยพบว่าประชาชนห่วงใยเรื่องเศรษฐกิจ พรรคจึงมุ่งเน้นแก้ปัญหาในเรื่องนี้ให้เกิดขึ้น ขณะเดียวกันการออกแบบนโยบายเชื่อว่าจะไม่กระทบวินัยการเงินการคลัง ทิศทางการใช้เงินมีแนวโน้มลดลงโดยเฉพาะการกู้จะแตกต่างจากรัฐบาลในปัจจุบัน

      หลักคิดพรรคเพื่อไทยจะสืบเนื่องจากปี 2554 โดยเฉพาะแนวทาง "การลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ ขยายโอกาส" เช่น การลดรายจ่ายโดยลดอัตราภาษี เพื่อลดภาระให้ประชาชน สร้างรายได้ใหม่เปิดโอกาสให้ประชาชนมีรายได้เพิ่มขึ้น รวมถึงมาตรการพักเงินต้นพักดอกเบี้ย เพื่อดูแลประชาชนที่มีภาระหนี้สิน 

        ส่วนการยกระดับราคาสินค้าเกษตร เช่น ข้าว อ้อยมันสำปะหลัง ยางพารา ปาล์มน้ำมัน มะพร้าว พรรคเพื่อไทยมีนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการดูแลเรื่องดังกล่าวโดยตรง และเป็นเรื่องที่เตรียมการทำมาต่อเนื่อง เพราะเมื่อเกษตรกรมีรายได้เพิ่มขึ้น ภาพรวมทางเศรษฐกิจก็จะปรับตัวดีขึ้น 

         สำหรับการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นเรื่องสำคัญและบางส่วนรัฐบาลนี้ได้ผลักดันต่อเนื่องจากแผนแม่บทของรัฐบาลพรรคเพื่อไทย จากนี้ต้องมาพิจารณาว่าจะดำเนินการเรื่องใดต่อ และเรื่องใดที่ยังไม่มีความชัดเจน เช่น การเชื่อมโยงจุดเชื่อมต่อการค้าชายแดน การเชื่อมโยงระหว่างเมือง และการเชื่อมโยงระบบคมนาคมขนส่งในด้านต่างๆ

      นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ได้กล่าวว่า ในฐานะที่เป็น Real Sector ตลาดหลักทรัพย์ไทยมีคุณูปการอย่างยิ่ง เพราะเป็นแหล่งทุนให้กับผู้ประกอบการ ในอนาคตตนหวังให้ตลาดหลักทรัพย์เป็นแหล่งเงินออมที่ทุกคนต้องเข้าถึงได้ และต้องเป็นแหล่งระดมเงินที่ปลอดภัยและปลอดจากการเมือง ซึ่งที่ผ่านมาตลาดหลักทรัพย์ทำหน้าที่ตรงนี้ได้อย่างดีเยี่ยม

       ในส่วนของการพัฒนาประเทศ ภูมิใจไทยไม่พูดเรื่องการเมือง แต่จะพูดเรื่องจริง ที่ต้องทำอย่างเร่งด่วน ขอเสนอให้เราเอาคำว่าดุลพินิจออกจากกฎหมาย เพราะดุลพินิจ มันให้อำนาจรัฐจนเกินไป เรามาตั้งโรงงาน เราทำถูกต้อง แต่ก็ต้องรอท่านเซ็นเอกสาร ทั้งที่เราทำตามกรอบทุกอย่าง มันเสียเวลา ทำลายโอกาสการลงทุน ทำลายโอกาสการจ้างงาน ชะลอเงินที่ควรจะหมุนเวียน เพราะเรารอการตัดสินใจของรัฐ

      ดังนั้น ทางที่ดี จะต้องเปลี่ยนเป็นระบบ Check List เรามีเอกสาร กำหนดเงื่อนไข ใครทำได้ตามเงื่อนไข คุณเปิดโรงงานได้เลย แต่เราจะมาตรวจสอบทีหลัง ถ้าโกหกเรา ต้องถูกลงโทษ แบบนี้ มันอำนวยความสะดวกด้านการลงทุนมากกว่า ซึ่งตลาดหลักทรัพย์มีความน่าเชื่อถือเพราะใช้ระบบ check list ให้ระบบตรวจสอบ น่าเชื่อถือกว่าการให้คนไม่กี่คนมาตัดสินใจ

      "เราควรกลับมาทบทวนเรื่องการใช้งบ เราไม่รีบซื้ออาวุธ แต่ต้องให้เงินเข้าไปในระบบเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว ผมสนับสนุนเรื่อง Made in Thailand กินของไทย ใช้ของไทย เราต้องจ้างคนไทย ใช้ของไทย สร้างสิ่งอำนวยความสะดวกแก่คนไทย ต้องให้เงินของประเทศ อยู่ในมือคนไทย"

         หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ยังกกล่าวอีกว่า ถึงเวลาแล้วที่ประเทศไทยต้องสนับสนุนการลงทุนอย่างเท่าเทียม ทำไมต้องออกกฎหมายหนุนลงทุนแค่ในระยอง ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ควรจะใช้กฎหมาย อีอีซี ในหนองบัวลำภูบ้าง ทุกจังหวัดต้องได้รับการพัฒนาอย่างเท่าเทียม พร้อมชูนโยบายลดอำนาจรัฐ เพื่อปากท้องประชาชน

       ส่วนด้านนายสัมพันธ์ แป้นพัฒน์ รองหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่า จะเน้นแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ สร้างตลาดทุนที่มั่นคง พร้อมผลักดันธุรกิจการเกษตร โดยได้กล่าวถึงความเหลื่อมล้ำระหว่างคนสองกลุ่ม ที่มีรายได้ปานกลางจนไปถึงน้อย กับคนที่มีฐานะพอสมควร ซึ่งจะเห็นภาพในประเทศไทยได้ว่าสองกลุ่มนี้ มีความแตกต่างกัน กลุ่มที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดนั้นกลับมีรายได้ที่ต่ำ ซึ่งแยกออกเป็น 3 พวกในปัจจุบัน 

       พวกแรกคือ เกษตรกร ซึ่งทางพรรคมีนโยบายที่จะทำให้เกษตรกรมีรายได้ที่สูงขึ้นในอนาคต อันเป็นนโยบายที่จับต้องได้ 

           พวกที่สองคือ มนุษย์เงินเดือนทั้งหลาย กลุ่มคนเหล่านี้ เมื่อรัฐบาลเห็นว่าเขามีรายได้แล้ว ก็จะไม่ค่อยพูดถึงคนกลุ่มนี้ ให้กระทรวงแรงงานดูแล มีพ.ร.บ.คุ้มครองแรงงาน ก็คิดว่าเพียงพอแล้ว ซึ่งจริงๆแล้วนั้นมันไม่เพียงพอ ดังนั้นเศรษฐกิจของคนกลุ่มนี้เราก็ต้องมาคุยกันว่าจะทำอย่างไรให้เขาเจริญเติบโตได้ ซึ่งจะต้องคุยกันต่อไป 

        พวกที่สามคือ กลุ่มคนผู้สูงอายุ ซึงกลุ่มคนสูงอายุวันนี้มีเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่จะเห็นภาพชัดว่ารัฐบาลกำลังงงอยู่ว่าจะดูแลคนกลุ่มนี้อย่างไร ซึ่งก็ได้คุยกันในพรรคเรื่องนี้ว่า คนกลุ่มสูงอายุที่เขายังมีปัญญาหาเลี้ยงตัวเองได้ กับกลุ่มคนที่เดือดร้อนจริงๆ รัฐบาลควรมีการช่วยเหลืออย่างไร และเมื่อไหร่ที่ประเทศไทยลดความเหลื่อล้ำได้ แล้วสามารถยกระดับให้คนทั้ง 3 กลุ่มนี้ขึ้นมาได้ เศรษฐกิจก็จะดีขึ้น

        โดยก่อนการสัมมนาจะเริ่มขึ้น ด้านนายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนด้วยว่า อยากให้พรรคการเมืองให้ความสนใจกับตลาดทุน เพราะตลาดทุนถือเป็นแหล่งระดมทุน ถ้าทำให้เข้มแข็งจะยิ่งได้ประโยชน์ โดยเชื่อว่าช่วงที่มีการเลือกตั้งจะส่งผลดีให้มีเม็ดเงินไหลเข้าตลาดทุนคึกคัก  ซึ่งอยากให้พรรคการเมืองเน้นการทำนโยบายระยะยาว  โดยเฉพาะลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและสานต่อนโยบายเดิม หรือการสร้างเงินออมในระบบให้มากขึ้นเพราะในอนาคตประเทศไทยจะเข้าสู่สังคมสูงวัยมากขึ้น แม้นโยบายประชานิยมหรือ นโยบายระยะสั้นสามารถทำได้ แต่ไม่อยากให้เป็นนโยบายหลักของพรรคการเมือง เพราะปัจจุบันประเทศไทยยังมีปัญหาเชิงโครงสร้าง

         ทั้งนี้ ยังคาดหวังว่า รัฐบาลชุดใหม่จะให้ความสำคัญกับตลาดทุนให้มากขึ้น เพราะมีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าตลาดเงิน และตลาดสินเชื่อ เพราะตลาดทุนเป็นคลาดที่ใหญ่ เป็นศูนย์กลางของการระดมทุน ตลอดจนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน แล้วยังเป็นแหล่งระดมทุนของเอสเอ็มอี หรือ ธุรกิจรายใหญ่ ที่ทำให้ภาคธุรกิจมีต้นทุนการระดมทุนที่ต่ำมากกว่าการกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์ นายไพบูลย์ กล่าว

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ