ข่าว

ศาลฎีกาฯ พิพากษายกฟ้อง "สุเทพ"กับพวก คดี"ฮั้วประมูล"โรงพักทดแทน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ศาลฎีกานักการเมือง ยกฟ้อง "สุเทพ เทือกสุบรรณ"กับพวกรวม 6 ราย คดีทุจริตร่วม"ฮั้วประมูล"โครงการสร้างโรงพักทดเเทน และโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก

เมื่อเวลา 09.00 น.วันที่ 20 กันยายน 65 ที่ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง (อม.) สนามหลวง ศาลนัดอ่านคำพิพากษาในคดีหมายเลขดำ อม.22/2565 ที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี, พล.ต.อ.ปทีป ตันประเสริฐ อดีตรักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, พล.ต.ต.สัจจะ คชหิรัญ, พ.ต.ท.สุริยา แจ้งสุวรรณ์, บริษัท พีซีซี ดีเวลล็อปเม้นท์ แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด และนายวิศณุ วิเศษสิงห์ เป็นจำเลยที่ 1-6 กรณีร่วมฮั้วประมูลโครงการสร้างโรงพักทดเเทนโครงการก่อสร้างอาคารที่พัก (แฟลตตำรวจ)

 

คดีนี้ ป.ป.ช. ยื่นฟ้องระบุพฤติการณ์สรุปว่า ระหว่างวันที่ 9 มิ.ย.52-18 เม.ย.56 จำเลยที่ 1เเละที่ 2 เปลี่ยนแปลงแนวทางจัดซื้อจัดจ้างโครงการก่อสร้างอาคารที่ทำการสถานีตำรวจ (ทดแทน) จำนวน 396 หลัง จากราคาภาคแยกสัญญามาเป็นการรวมจัดจ้างก่อสร้างไว้ที่ส่วนกลางสัญญาเดียว จำเลยที่ 5เป็นผู้ชนะการประกวดราคา โดยจำเลยที่ 6 ยื่นเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคาได้เสนอ ราคาต่ำอย่างผิดปกติ จำเลยที่ 3-4ในฐานะคณะกรรมการประกวดราคา ไม่ตรวจสอบราคาที่ผิดปกติ ดังกล่าว และได้นำเอกสารบัญชีแสดงปริมาณวัสดุและราคานั้นไปใช้ในการขออนุมัติจ้างและใช้ประกอบ เป็นเอกสารแนบท้ายสัญญา ต่อมาจำเลยที่ 5 ก่อสร้างไม่แล้วเสร็จตามสัญญา เป็นเหตุให้สำนักงานตำรวจ แห่งชาติเสียหาย ขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1,2 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 ลงโทษจำเลยที่ 3,4 ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 151,157 พระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา ต่อหน่วยงานของรัฐ พ.ศ. 2542 มาตรา 10,12 กับลงโทษจำเลยที่ 5 ,6ในฐานะผู้สนับสนุนการกระทำผิด
 

โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 17 ก.พ.ที่ผ่านมา ศาลฎีกาคดีนักการเมืองได้นัดพิจารณาครั้งแรก และได้อ่านอธิบายคำฟ้องพร้อมสอบคำให้การจำเลยทั้ง 6 ให้การปฎิเสธข้อต่อสู้คดี ศาลจึงได้กำหนดวันนัดไต่สวนพยานโจทก์ 3 นัด ครั้งเเรกวันที่ 2,30 มิ.ย.เเละวันที่ 7 ก.ค.นี้ และนัดไต่สวนพยานจำเลยวันที่ 19,21,26 ก.ค. จนเสร็จสิ้นแล้วจึงนัดคู่ความฟังคำพิพากษาในวันและเวลาดังกล่าว

 

โดยวันนี้นายสุเทพ เดินทางมาศาลพร้อมทนายความ มีนายถาวรเสนเนียม อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย นายณัฐพล ทีปสุวรรณ อดีตรมว.กระทรวงศึกษาธิการเเละนางทยา ภรรยา นายจุมพล จุลใส อดีต ส.ส.ชุมพร เเละกลุ่มเเกนนำ กปปส.เดินทางมาราวมให้กำลังใจ

 

โดนองค์คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาพิเคราะห์แล้วเห็นว่าทางไต่สวนข้อเท็จจริงรับฟังได้ว่า ค.ร.ม.มีมติอนุมัติโครงการก่อสร้างโรงพักทดแทนให้เปลี่ยนรูปแบบการลงทุนภาครัฐจากวิธีแปลงสินทรัพย์เป็นหลักทรัพย์ เเละวิธีจัดสรรงบประมาณรายปี
ส่วนวิธีที่ทาง สำงานตำรวจเเห่งชาติเสนอรูปเเบบการจัดซื้อจัดจ้างเป็นเพียงเหตุผลประกอบ

ซึ่ง ครม.พิจารณาอนุมัติโครงการและจัดสรรงบประมาณให้ไม่เกี่ยวกับรูปแบบการก่อสร้างและวิธีการจัดซื้อจัดจ้างเพราะไม่ใช่อำนาจของครม.ซึ่งเป็นอำนาจของหน่วยงานรัฐคือสำนักงานตำรวจแห่งชาติ การที่จำเลยที่ 1 อนุมัติการจัดจ้างก่อสร้างแบบรายภาค 1-9 ภาค และเปลี่ยนเป็นวิธีอิเล็กทรอนิกส์รวมกันในครั้งเดียวโดยไม่เสนอให้ค.ร.ม.อนุมัติ จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ จำเลยที่ 2 ฐานะหัวหน้าหน่วยงานรักษาการณ์ ผบ.ตร.ได้ใช้ดุลพินิจให้ความเห็นชอบตามระเบียบครม.การจัดทำรูปแบบ แนวทางรวมถึงวิธีการจัดซื้อจัดจ้างและขออนุมัติจากจำเลยที่ 1 ซึ่งจะเห็นด้วยหรือไม่ก็ตาม จึงเป็นการปฏิบัติหน้าที่ตามสายงาน และได้พิจารณาเหตุผลความจำเป็นเสนอผู้บังคับบัญชาตามลำดับชั้น จำเลยที่ 2 ได้ใช้ดุลยพินิจเห็นชอบตามระเบียบสำนักนายกฯ การกระทำของจำเลยที่ 1 จึงไม่เป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ ส่วนจำเลยที่ 3-4 เป็นประธานและเลขานุการคณะกรรมการประกวดราคาฯ ตามลำดับ มีหน้าที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบค.ร.ม.ในการดูแลให้เกิดความเรียบร้อยในการเสนอราคา แม้ว่าจำเลยที่ 3-4 ไม่ได้เสนอบัญชีปริมาณวัสดุให้ครบถ้วน แต่ราคาทั้งหมดไม่มีผลเปลี่ยนแปลงในภาพรวม และจำเลยที่ 5 เป็นเสนอราคาต่ำกว่าราคากลางเอง เมื่อพิจารณาเอกสารความเห็น ย่อมไม่เกิดความเสียหายและไม่ปรากฎว่าพบว่าจำเลยที่ 3-4แสวงหาผลประโยชน์โดยมิชอบการกระทำจึงไม่เป็นความผิด ส่วนจำเลยที่ 5-6 โจทก์ฟ้องว่าเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิด เมื่อข้อเท็จจริงยังฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 3-4 กระทำความผิด จึงฟังไม่ได้ว่าจำเลยที่ 5-6 กระทำความผิดด้วย มติเสียงข้างมากพิพากษายกฟ้องจำเลยที่ 1-6

 

ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในช่วงที่ศาลฎีกาฯอ่านคำพิพากษามีเนื้อหาว่าจำเลยที่ 1 นายสุเทพไม่ผิด กองเชียร์ที่มาให้กำลังใจจากห้องถ่ายทอดสดพากันปรบมือเเสดงความดีใจแบบพอเป็นพิธี

 

ทางด้าน นายสุเทพ ให้สัมภาษณ์หลังจากศาลฎีกา มีคำสั่งยกฟ้องคดี ว่า ตนต้องตกอยู่ภายใต้กระแสการโจมตีว่าเป็นคนเลว คนทุจริต เกือบ 10 ปี อดทนอดกลั้นและอาศัยความจริงเข้ามาต่อสู้ ประเทศไทยมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และรู้ว่าเราตั้งใจทำความดีให้กับชาติบ้านเมือง และประชาชน จะได้รับการคุ้มครอง 

 

“ในระบอบประชาธิปไตยที่อำนาจอธิปไตยแบ่งเป็นสามฝ่าย อำนาจตุลาการของศาล ยังเป็นที่พึ่งหลักของบ้านเมืองได้ คนที่ยึดมั่นในหลักการ ยึดมั่นในระบบขอให้มีกำลังใจ สำหรับตนทนทุกข์ทรมานใจมานาน ตอนนี้หมดทุกข์ หมดโศก พ้นเคราะห์ จะเดินหน้าทำงานให้กับประเทศชาติและประชาชนตามอุดมการต่อไป ในชีวิตของตนทุ่มเททำงานให้กับบ้านเมืองและประชาชนด้วยความสุจริต ไม่มีใจที่จะคิดคดทรยศต่อแผ่นดิน ไม่ใช่คนทุจริตคอรัปชั่น ทุกอย่างได้พิสูจน์แล้ว ใครที่เคยกล่าวหาโจมตี ตนขอโหสิให้”

 

เมื่อถามว่า ได้ศักดิ์ศรีกลับคืนมาแล้ว จะดำเนินการฟ้องร้องกับผู้ทำให้เสียหายหรือไม่ นายสุเทพ เผยว่า ตอนนี้ยังไม่ได้คิด หลังจากนี่จะไปกลับไหว้ศาลหลักเมือง ไหว้พระแก้วมรกต เพราะเวลาต่อสู้คดีตนได้ตั้งสัตย์อธิษฐาน ตนใช้ความจริงในการต่อสู้ ไม่ได้คิดหรือว่าโทษอะไรใครทั้งสิ้น


ต่อไปนี้จะเดินหน้าทางการเมืองอย่างไรนั้น “ตนต้องการสนับสนุนพรรคการเมืองของประชาชนที่แท้จริง ตนได้ร่วมก่อตั้งพรรครวมพลัง ที่มี ส.ส. 5 คน และมีรัฐมนตรี 1 คน เราทำประโยชน์ให้กับประชาชนมามาก ช่วงที่ก่อตั้งพรรคตนถูกโจมตีจากข้อมูลเท็จ แต่วันนี้ตนพ้นผิดมีกำลังใจในการเดินหน้าทางการเมืองต่อไป ยืนยันไม่ลงสมัครรับเลือกตั้ง แต่จะขอสร้างนักการเมืองที่ดีมาทำงานเพื่อประชาชน

 

"อะไรที่ช่วยได้ก็ช่วย เคยลั่นสัจจะวาจาไว้แล้วตอนเดินขบวน ว่าจะไม่กลับไปยุ่งทางการเมือง ส่วนสมาชิกพรรคที่จะสนับสนุนให้ พล.อ.ประยุทธ์ กลับมาเป็นนายกฯอีกครั้ง ตนก็ไม่ทราบว่าจะรอดหรือไม่ ต้องรอการตัดสินวันที่ 30 กันยายน ตนไม่มีพาวเวอร์อะไรมีแต่หัวใจ ทุกอย่างที่ทำทำด้วยหัวใจ หัวใจที่รักชาติ รักแผ่นดิน รักประชาชน ยืนยัน ตนไม่มีอำนาจอะไรที่จะไปช่วยใครได้"
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ