ข่าว

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน นับจากวันเริ่มระบาดจนวันนี้มีเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นกว่า 369 คนที่ผู้ดูแลเสียชีวิตจากโควิด19 เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด ราชวิทยาลัยกุมารแพทย์ระบุควรเร่งฉีดวัคซีนครูพร้อมหามาตรการความปลอดภัยเด็กรับมือเปิดเทอม

 

เมื่อวันที่ 6 ก.ย. ศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19  โดย กรมกิจการเด็กและเยาวชน  กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) กรมสุขภาพจิตและองค์การยูนิเซฟ ประเทศ แถลงข่าวเรื่อง ‘สถานการณ์เด็กติดเชื้อ เด็กกำพร้า ผลกระทบจากโควิด-19 และการเยียวยาฟื้นฟู’  

 

นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กล่าวว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ยังคงส่งผลกระทบในวงกว้าง กลุ่มเด็กยังคงจำเป็นต้องเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลโควิด-19 พบมีเด็กติดเชื้อสะสมตั้งแต่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2564 จำนวน 142,870 คน แบ่งเป็น กทม. 31,111 คน และภูมิภาค 111,759 คน โดยยังคงติดเชื้อรายวันมากกว่า 2,000 ราย ที่สำคัญผู้เสียชีวิตเฉลี่ยรายวันยังคงขึ้นลงมากกว่า 200 รายต่อวัน ซึ่งหากผู้เสียชีวิตเป็นพ่อแม่หรือผู้ปกครองของเด็กก็จะส่งผลให้มีเด็กกำพร้าเพิ่มมากขึ้น      

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน  เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

นางสุภัชชา สุทธิพล อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน

 

ทั้งนี้กรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวง พม. ร่วมกับศูนย์ช่วยเหลือเด็กโควิด-19 ได้มีการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ฯ  ตั้งแต่ 1 มกราคม – 4 กันยายน 2564  จำนวนทั้งสิ้น 9,565 คน 

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง

 

สำหรับกลุ่มเด็กกำพร้า นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใย ได้มอบหมายให้กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ สำรวจข้อมูลตั้งแต่วันที่ 27 กรกฎาคม –  4 กันยายน 2564 พบ เด็กกำพร้าจำนวน 369 คน โดยกำพร้าบิดามากที่สุด 180 คน กำพร้ามารดา 151 คน กำพร้าทั้งบิดาและมารดา 3 คน และกำพร้าผู้ปกครอง 35 คน ภาคใต้พบเด็กกำพร้ามากที่สุด 131 ราย ร้อยละ 71.54 อยู่ในช่วงอายุ 6 - 18 ปี และร้อยละ 33.06 เป็นเด็กที่เรียนชั้นประถมศึกษา  

 

ปัจจุบันเด็กกำพร้า 369 คน ได้รับการดูแลในรูปแบบครอบครัว 367 คน (โดยอยู่กับพ่อหรือแม่ 231 คน อยู่กับครอบครัวเครือญาติ 133 คน และอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์อาสาสมัคร 3 คน) และอยู่ในบ้านพักเด็กและครอบครัว/สถานสงเคราะห์เพื่อจัดหาครอบครัวทดแทน 2 คน โดยได้รับการช่วยเหลือแล้ว ทั้งนี้ ข้อมูลเด็กกำพร้าจะถูกบันทึกลงในระบบสารสนเทศเพื่อการคุ้มครองเด็ก CPIS เพื่อใช้ในการวางแผนการดูแลและการจัดบริการให้แก่เด็กทั้งระยะสั้นและระยะยาว 
“ในปีงบประมาณ 2565 กระทรวง พม. เตรียมรองรับการจัดสวัสดิการให้กับเด็กและครอบครัว

 

โดยคณะกรรมการบริหารกองทุนคุ้มครองเด็กให้ความสำคัญในการช่วยเหลือเด็กรายบุคคลโดยการสนับสนุนครอบครัวและครอบครัวอุปถัมภ์ให้ได้รับบริการเพื่อสนับสนุนการดูแลเด็ก โดยจะมีเด็กได้รับความช่วยเหลือประมาณ 1,600 คน นอกจากนี้มีเงินอุดหนุนการให้บริการสวัสดิการเด็กในครอบครัวยากจน” อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชนกล่าว  

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน  เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

ศาสตราจารย์ สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา

 

ศาสตราจารย์ สมพงษ์ จิตระดับ กรรมการผู้ทรงคุณวุฒิ ภาคประชาสังคม กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา  กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ของกสศ. ในช่วงที่ผ่านมา เราพบว่า เด็กส่วนใหญ่ที่ได้รับผลกระทบ 80% คือเด็กยากจนด้อยโอกาส  ในชุมชนแออัดที่นอกจากเหลื่อมล้ำด้านเศรษฐานะแล้วยังเหลื่อมล้ำด้านการศึกษา   วันที่เราส่งเพวกเขากลับบ้าน เราจะพบเห็น คลื่นปัญหาที่ต้องเผชิญต่อไปคือ ความยากจน เพราะพ่อแม่ที่ป่วยไข้ก็ตกงาน ไม่ได้กลับไปทำงาน ถูกเลิกจ้าง ไม่มีเงินซื้ออาหาร ไม่มีเงินจ่ายค่าเช่าบ้าน ไม่นับเรื่องการเรียน ออนไลน์ไม่มีอุปกรณ์ไม่มีความพร้อมใดใด  และมีความเสี่ยงที่จะไม่ได้กลับมาเรียนอีก  ภารกิจจากนี้คือ การติดตาม เยียวยาป้องกันไม่ให้เด็กกลุ่มนี้หลุดจากระบบการศึกษา  

 

โดยกสศ.มีโครงการนำร่องช่วยเหลือเด็กที่ประสบวิกฤติทางการศึกษา และการฟื้นฟูทักษะอาชีพให้แก่พ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว 


“สำหรับเด็กกำพร้า เสนอให้รัฐบาล ออกมาตราการเรียนฟรีจนถึงระดับอุมศึกษา  ครอบคลุมทั้งกลุ่มที่สูญเสียพ่อแม่เพราะการติดเชื้อโควิด-19 หรือเสียชีวิตจากการฆ่าตัวตายจากวิกฤติเศรษฐกิจ  นอกจากนี้ต้องให้คำแนะนำแก่ครูและโรงเรียน ในการเตรียมความพร้อมเพื่อดูแลเด็กนักเรียนที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักหรือสมาชิกครอบครัวจากวิกฤตโควิด-19 โดยแม้เด็กจะกลับมาเข้าห้องเรียนได้ แต่สภาพจิตใจอาจยังไม่พร้อมสมบูรณ์ ”

 

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน  เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย

 

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์สมศักดิ์ โล่ห์เลขา ประธานราชวิทยาลัยกุมารแพทย์แห่งประเทศไทย กล่าวว่า จากจำนวนเด็กที่ป่วยในช่วงแรก 997 คน หรือคิดเป็น 6 % ต่อมาได้เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว จนถึง 1.4 แสนคนหรือคิดเป็น 14 % ของผู้ติดเชื้อและติดเชื้อจากที่บ้านเพราะโรงเรียนยังไม่ได้เปิด เด็กที่ป่วยแล้วเสียชีวิต จำนวน 20 คน เป็นเด็กที่มีโรคประจำตัวมาก่อนแล้ว  

 

โดยกลุ่มเด็กที่ติดเชื้อสูงสุดคือ  12-18 ปี คิดเป็น 38% รองลงมาคือ 6-12 ปี คิดเป็น 32%  และอายุต่ำว่า 6 ปี ประมาณ 5%   โดย เด็กอายุ 6-12 ปี ยังไม่พบการเสียชีวิต และเด็กเสียชีวิตน้อยกว่าผู้ใหญ่เพราะมีภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเชื้อใหม่ดีกว่า 

 

“ตอนนี้มีปัญหาถกเถียงกันว่าจะเปิดโรงเรียนได้ไหม ซึ่งในประเทศญี่ปุ่น ล็อกดาวน์ทั้งหมดยกเว้นโรงเรียน สิงคโปร์ อเมริกา ก็บอกว่าต้องเปิด ที่เด็กไม่ได้ฉีดวัคซีนเพราะไม่มีวัคซีนสำหรับเด็ก วัคซีนที่ขึ้นทะเบียนใช้กับเด็กได้มีตัวเดียวคือไฟเซอร์ อายุ 12 ปี ขึ้นไป เด็กไม่ใช่ผู้ใหญ่ตัวเล็ก จะบอกว่าผู้ใหญ่ฉีดได้เด็กก็ฉีดได้เหมือนกัน เพราะการตอบสนองและภูมิคุ้มกันไม่เหมือนกัน  อเมริกา ทดสอบไปสามพันคนไม่มีปัญหา แต่พอฉีดเป็นแสนคนพบกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบหลายคน ทำให้เราต้องรอบ”  


อย่างไรก็ตาม  ที่ผ่านมาการที่เด็กไม่ไปโรงเรียนเสียหายมาก ทั้งการเรียนรู้ การออกกำลังกายและการเข้าสังคม และสุดท้ายสร้างปัญหาเด็กลาออกจากโรงเรียน สร้างความเหลื่อมล้ำมาก สิ่งที่ต้องดำเนินการคือการหามาตรการรับมือเปิดเทอมโดยแนวการป้องกันคือ  1) ฉีดวัคซีนให้คนฉีดได้ ผู้ปครอง  ครู คนในบ้าน เพราะหากผู้ใหญ่ไม่ติดเชื้อเด็กก็ไม่ติดเชื้อ เพราะการฉีดวัคซีนให้เด็กอาจต้องรอบคอบ ในอนาคตจะมีมีวัคซีนที่ปลอดภัย แต่ตอนนี้ยังเป็นแค่การใช้ฉุกเฉิน ถ้าไม่ฉุกเฉินรออีกสักพักก็อาจมีวัคซีนที่ปลอดภัยกว่าปัจจุบันออกมาต้นปีนี้   และ  2) เน้นการใส่หน้ากากทั้งที่บ้าน และโรงเรียน  รวมทั้งการเว้นระยะห่าง ล้างมือ ใครป่วยหรือมีประวัติสัมผัสต้องหยุดอยู่บ้าน ทำความสะอาดห้อง และควรมีการทดสอบเด็กเป็นระยะ ในช่วงที่มีระบาดหนัก ส่วนที่ไม่ระบาดหนักอาจตรวจเฉพาะคนที่มีอาการไม่จำเป็นต้องใช้สูตรเดียวทั้งประเทศขึ้นอยู่กับพื้นที่ เช่น นักเรียนติดคนเดียวก็ไม่จำเป็นต้องปิดทั้งโรงเรียนที่สร้างความเสียหายมาก อาจะให้หยุดกับคนที่สัมผัสใกล้ชิดเสี่ยง  


  "โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน  เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กุมารแพทย์ประจำสถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี

 

รองศาสตราจารย์แพทย์หญิง วารุณี พรรณพานิช วานเดอพิทท์ กุมารแพทย์ประจำสถาบันเด็กแห่งชาติมหาราชินี กล่าวว่าจากผลวิจัยล่าสุดของประเทศอังกฤษในการติดตามระยะเวลาของการเจ็บป่วยในเด็กวัยเรียนอายุ 5-17 ปี พบว่า อาการ Long Covid จะมีผลต่อเด็กโตมากกว่าเด็กเล็ก ๆ และส่วนใหญ่จะมีระยะเวลาอยู่ที่ 6-12 สัปดาห์    

 

งานวิจัยระบุว่าอาการ Long Covid ในเด็กที่ถือว่ายาวนานคือ 1 เดือน หรือ 4 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งในเด็กพบที่ราว 4.4% แต่ข้อที่น่าสนใจคือข้อมูลที่เปรียบเทียบกับเด็กที่ติดเชื้อทางเดินหายใจซึ่งยืนยันว่าโควิด-19 ก่อให้เกิดผลกระทบระยะยาวได้จริง โดยค่ามัธยฐานของผู้ป่วยเด็กจะมีอาการจากโควิด-19 ประมาณ 6 วัน ขณะที่ติดเชื้อทางเดินหายใจที่ประมาณ 3 วัน และหากเปรียบเทียบเด็กเล็กกับเด็กโต พบว่าเด็กเล็กจะป่วยเฉลี่ยที่ประมาณ 5 วัน ซึ่งเด็กโตจะนานกว่าคือประมาณ 7 วัน และความเสี่ยงของภาวะ Long Covid ในเด็กโตก็มีมากกว่า คือ 5.1% ส่วนเด็กเล็กอยู่ที่ 3.1% อาการที่สำคัญคือปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ซึ่งอาจต่อเนื่องไปถึง 28 วัน

 

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน  เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

แพทย์หญิงดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต

 

แพทย์หญิงดุษฎี จึงศิรกุลวิทย์ ผู้อำนวยการสถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์ กรมสุขภาพจิต กล่าวว่า เด็กๆที่ต้องเผชิญกับเหตุการณ์สูญเสียชีวิตของผู้ดูแลหลัก  หากไม่ได้รับการฟื้นฟูเยียวยาจิตใจที่เหมาะสม จะกลายเป็นปัญหาต่อเนื่องทั้งระยะสั้น ระยะกลาง และระยะยาว    จึงได้เตรียมมาตรการสร้างพื้นที่พักพิงทางจิตใจและสังคม (Psychosocial Care) ร่วมกัน ระยะสั้นคือการปฐมพยาบาลทางจิตใจสำหรับเด็กที่มีความเข้มแข็งทางใจอยู่แล้วให้ฟื้นคืน โดยอาจไม่จำเป็นต้องพบนักจิตวิทยาเด็ก ระยะกลางคือเด็กที่มีปัญหาเดิมอยู่แล้วเมื่อมาเจอกับความสูญเสีย กลุ่มนี้ต้องนำสู่กระบวนการรักษาเต็มรูปแบบทันที ส่วนในระยะยาวหมายถึงการฟื้นฟูทางสังคมและจิตใจร่วมกัน ด้วยการติดตามจากเจ้าหน้าที่เพื่อช่วยเด็กในการปรับตัวและเป็นที่ปรึกษาให้กับครอบครัวอุปถัมภ์

 

"โควิด-19" ทำเด็กกำพร้าเพิ่มรายวัน  เผยข้อมูลสามจังหวัดชายแดนใต้สูงสุด

นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย

 

นางสาวนิโคล่า บลั้น รักษาการหัวหน้าฝ่ายคุ้มครองเด็ก องค์การยูนิเซฟประเทศไทย กล่าวว่า ในอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก หรือ UNCRC ระบุไว้ว่า เด็กมีสิทธิที่จะเติบโตในครอบครัวตัวเอง ดังนั้นในความช่วยเหลือเด็กที่สูญเสียผู้ดูแลจากสถานการณ์โควิด-19 จำเป็นต้องมองไปที่สมาชิกครอบครัวที่เหลืออยู่ก่อน หรือใช้การดูแลทดแทนในระยะสั้น การแยกเด็กออกมากอยู่ในสถานสงเคราะห์หรือครอบครัวอุปถัมภ์ ควรเป็นทางเลือกสุดท้าย

 

“รัฐจำเป็นต้องให้ความสำคัญในการสร้างระบบการช่วยเหลือเด็กที่ได้รับผลกระทบ โดยสนับสนุนทั้งสิ่งของ  งบประมาณ และจิตใจให้กับเด็กและครอบครัว รวมถึงผลักดันให้เข้าถึงงานสังคมสงเคราะห์ บริการสาธารณสุข มีสวัสดิการและความคุ้มครองทางสังคมรองรับ โดยจัดทำฐานข้อมูลและระบบบริหารจัดการที่ช่วยชี้เป้าและติดตามครอบครัวของเด็กกลุ่มเสี่ยงได้ อาทิ ครอบครัวพ่อแม่เลี้ยงเดี่ยว เด็กที่อยู่กับปู่ย่าตายายลำพัง รวมไปถึงข้อมูลของเด็กกลุ่มเปราะบางทั้งหมด โดยทุกการตัดสินใจเด็กต้องได้มีส่วนร่วม มีสิทธิในการเลือกอนาคตของตนเอง ไม่ใช่การวางแผนโดยหน่วยงานหรือผู้ใหญ่โดยที่เด็กไม่มีส่วนรู้เห็นด้วย ”


นางสาวนิโคล่า กล่าวว่า ซึ่งนี่คือการจัดการที่รัฐทำได้ผ่านเครื่องมือและกลไก และต้องมีการทำงานที่ประสานความร่วมมือหลายภาคส่วน มององค์รวมของปัญหาที่ต้องลึกลงไปในหลายมิติแง่มุมของมนุษย์
 

logoline