ข่าว

ปิดร้านค้าเที่ยงคืน-ตี5

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กทม.ยกระดับสกัดแพร่ระบาดโควิด-19 เพิ่มยาแรงปิดทุกร้านค้าเที่ยงคืนถึงตี 5 เริ่ม 2 เม.ย. งดใช้สวนสาธารณะรัฐ-เอกชน "สุริยะ" ส่งหน้ากากผ้า 10 ล้านชิ้น ให้คนกรุง ขณะที่เด็กแว้นเชียงใหม่ฉุนเตือนใส่แมสก์ ฮือป่วน รพ.

          เมื่อวันที่ 1 เมษายน พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวภายหลังเสร็จสิ้นการประชุมร่วมคณะกรรมการโรคติดต่อของ กทม. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ในเรื่องพิจารณาควรมีสถานที่ที่ต้องควบคุมเพิ่มเติม และผลกระทบจากการปิดห้างสรรพสินค้า ในส่วนการให้บริการซ่อมมือถือ เนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 ว่า ที่ประชุมมีมติในส่วนของร้านซ่อมโทรศัพท์มือถือภายในห้าง ไม่เห็นควรให้เปิดจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย ทั้งที่อยู่ในห้างสรรพสินค้า และนอกห้างสรรพสินค้า ซึ่งในต่างจังหวัด ก็มีมาตรการไม่ให้เปิดด้วยเช่นกัน ในส่วนของ กทม. คณะกรรมการทั้ง 26 คน มีมติเห็นไปในทางเดียวกัน

 

 

 

          ส่วนมาตรการเพิ่มเติม กทม. ขอความร่วมมือ ให้ร้านทุกร้าน รวมถึงร้านค้าข้างทาง แผงลอย และร้านสะดวกซื้อ ปิดให้บริการ ตั้งแต่เวลา 24.00 น. จนถึง 05.00 น. ซึ่งเบื้องต้นจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 2 เมษายน และหลังจากนี้กรุงเทพมหานคร จะร่วมกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ตั้งด่านกวดขันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 และอำนวยความสะดวกประชาชนทั่วกรุงเทพมหานคร ขณะที่เรื่องจักรยานยนต์รับจ้าง และการบริการรับส่งอาหาร ได้หารือถึงมาตรการดังกล่าว ตามที่รัฐบาลได้มีการพูดคุยก่อนหน้านี้ ซึ่งรายละเอียดของมาตรการทั้งหมด จะนำไปแถลงที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือ ศบค.

          “ยืนยันว่าพื้นที่ กทม.จะไม่มีการประกาศเคอร์ฟิว รวมถึงจะประสานกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบ เพื่อเอาผิดผู้ที่ปล่อยข่าวว่าภายในเขตกรุงเทพมหานคร ว่าจะมีการประกาศเคอร์ฟิวด้วย” พล.ต.อ.อัศวิน กล่าว 

          ต่อมาเวลา 14.00 น. ที่ ศบค. ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษก กทม. แถลงถึงการให้บริการงานทะเบียนของ กทม. ว่า ของดให้บริการงานทะเบียนทั้งหมด ยกเว้น 5 ประเภท การแจ้งเกิด-ตาย การตรวจคัดสำเนาทะเบียนราษฎร ตรวจคัดสำเนาทะเบียนบัตรประชาชน จดทะเบียนสมรส และจดทะเบียนหย่า ซึ่งหากมีกรณีเร่งด่วนสำนักงานเขตจะพิจารณาเป็นกรณีไป ส่วนผู้ที่บัตรประชาชนหมดอายุ กระทรวงมหาดไทยอนุญาตให้ใช้บัตรเก่าไปก่อนจนถึงวันที่ 31 กรกฎาคมนี้ ส่วนผู้ที่บัตรหายให้ไปคัดสำเนาบัตรเก่าได้ที่สำนักงานเขตใกล้บ้านมาใช้ก่อน

          ร.ต.อ.พงศกร กล่าวต่อว่า สำหรับการเยียวยาตลาดภายใต้การดูแลของกทม. จะยกเว้นค่าเช่าแผง ห้องสุขาและที่จอดรถ ทั้ง 10 แห่ง เช่น ตลาดเมืองมีน ตลาดธนบุรี ตลาดเทวราช ตลาดประชานิเวศน์ 1 ตลาดหนองจอก ตลาดบางกะปิ ตลาดพระวงเวียนเล็ก ตลาดรัชดาภิเษก ตลาดสิงหา และตลาดราษฎร์บูรณะ ตั้งเดือนมีนาคม จนกว่าสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ขณะที่ตลาดนัดจตุจักร กทม.จะทำหนังสือไปถึงการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) เพื่อขอยกเว้นค่าเช่า เป็นเวลา 6 เดือนตั้งแต่เดือนมีนาคม-พฤศจิกายน 

          ส่วนกำหนดเวลาเปิด-ปิดสถานที่เพิ่มเติม ได้มีการประชุมคณะกรรมการโรคติดต่อ โดยจะมีการออกประกาศฉบับที่ 5 เรื่องการควบคุมเวลาเปิด-ปิด ตั้งแต่เวลา 05.01-24.00 น. คือร้านสะดวกซื้อ เซเว่นอีเลฟเว่น แฟมิลี่มาร์ท หรือร้านลักษณะเดียวกัน เช่นร้านโซห่วย ซูเปอร์มาร์เก็ตทั้งในและนอกห้าง, ร้านอาหารและเครื่องดื่ม ทั้งเป็นในคูหา รถเข็น และแผงลอย ให้เปิดโดยบริการตั้งแต่เวลา 05.01-24.00 น. เช่นกัน โดยในช่วงที่ปิดร้านในเวลาดังกล่าวขอให้ไปทำความสะอาดอย่างเคร่งครัดถูกสุขลักษณะ นอกจากนี้ สวนสาธารณะทั้งของรัฐและเอกชนที่ผ่านมาอนุโลม แต่สถานการณ์ยังไม่ดีขึ้น บางแห่งใช้เป็นที่รวมตัวกันทำกิจรรมใกล้ชิดกัน ดังนั้น กทม.จึงขอปิดสวนสาธารณะ ไม่เว้นแม้แต่ในคอนโด ชุมชนและหมู่บ้าน หรือเอกชน ซึ่งประกาศทั้งหมดจะมีผลในตั้งแต่วันที่ 2-30 เมษายน 

          ทั้งนี้ กทม.เข้าใจมาตรการต่างๆ ประชาชนจะไม่สะดวก แต่ขอเข้าใจว่าเราต้องลดการรวมตัวกันให้อยู่กับบ้านมากขึ้น ขอให้คำมั่นสัญญาว่าเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบให้เร็วที่สุด และทุกสถานที่ปิดเราจะประเมินตลอด หากหลักฐานทางการแพทย์ ทางวิทยาศาสตร์ ถ้าสถานการณ์ดีขึ้น สถิติน้อยลง จะพิจารณาเปิดให้เร็วที่สุด

          วันเดียวกัน ​นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยว่า ตามมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 17 มีนาคม ได้เห็นชอบจัดสรรงบประมาณรายจ่าย งบกลาง จำนวน 65 ล้านบาท ให้กระทรวงอุตสาหกรรม เพื่อผลิตหน้ากากผ้าและแจกจ่ายให้ประชาชนในเขตกทม.และปริมณฑล รวมถึงพื้นที่เสี่ยงอื่น จำนวน 10 ล้านชิ้น เพิ่มเติมจากที่กระทรวงมหาดไทยได้รับมอบหมายให้ผลิตหน้ากากสำหรับแจกจ่ายให้ประชาชนในส่วนภูมิภาค จำนวน 50 ล้านชิ้น เพื่อลดปัญหาการขาดแคลนหน้ากากอนามัย และป้องกันการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยความร่วมมือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยและภาคเอกชน ซึ่งได้มีการคัดเลือกโรงงานที่มีความพร้อมและมีศักยภาพ สามารถจัดหาวัตถุดิบในการผลิตที่มีคุณภาพ มีคุณลักษณะผ้าและหน้ากากผ้าตามประกาศกระทรวงอุตสาหกรรมกำหนด

          นายสุริยะ กล่าวอีกว่า กระทรวงอุตสาหกรรมจะเริ่มแจกจ่ายหน้ากากผ้าลอตแรก จำนวน 1 ล้านชิ้น ให้ถึงมือประชาชนภายในวันที่ 11 เมษายนนี้ โดยจัดส่งผ่านไปรษณีย์ไทยตามข้อมูลทะเบียนบ้านทุกครัวเรือนในเขตกรุงเทพมหานคร ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย จำนวนกว่า 3,050,000 ครัวเรือน จำนวนรวมกว่า 5,600,000 ชิ้น ตามบัญชีรายชื่อในทะเบียนบ้าน 1 คนต่อ 1 ชิ้น โดยครัวเรือนที่จะรับหน้ากากเป็นลำดับแรก จะเริ่มจากเขตป้อมปราบศัตรูพ่ายและเขตสัมพันธวงศ์ รหัสไปรษณีย์ 10100 และจัดส่งจนครบทั้ง 50 เขตของกทม.และเขตสุดท้ายจะได้รับไม่เกินต้นเดือนพฤษภาคมนี้ ส่วนที่เหลือจำนวน 4,400,000 ชิ้น จะแจกจ่ายให้แก่ประชาชนในพื้นที่เขตปริมณฑลและพื้นที่อื่นที่มีความเสี่ยง เช่น จ.นนทบุรี จ.สมุทรปราการ จังหวัดภาคใต้และภาคใต้ชายแดน รวมถึงพนักงานบริการที่มีความเสี่ยง เช่น พนักงานขนส่งมวลชน พนักงานสถานีรถไฟฟ้าและรถไฟใต้ดิน พนักงานไปรษณีย์ เจ้าหน้าที่ตำรวจ เป็นต้น

 

 

 

          ผู้สื่อข่าวรายงานว่าในส่วนของพื้นที่ต่างจังหวัดยังเพิ่มมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อย่างต่อเนื่อง เช่น นายพิพัฒน์ เอกภาพันธ์ ผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลก ออกประกาศคำสั่ง อาศัยอำนาจตามมาตรา 22 พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ. 2558 ขอความร่วมมือประชาชนทุกคน งดการออกนอกเคหสถานตั้งแต่เวลา 23.00-05.00 น.ของวันรุ่งขึ้น ยกเว้นเป็นผู้ส่งสินค้า ผู้ที่ต้องปฏิบัติงานในช่วงเวลาดังกล่าว หรือกรณีมีความจำเป็นเร่งด่วน ขณะเดียวกันคำสั่งผู้ว่าราชการจังหวัดพิษณุโลกได้ห้ามข้าราชการ พนักงานราชการ ลูกจ้าง ส่วนท้องถิ่น และเจ้าหน้าที่ของรัฐทุกหน่วยงาน เดินทางออกนอกพื้นที่จังหวัดพิษณุโลก เว้นแต่มีเหตุผลความจำเป็นต้องขออนุญาตพร้อมระบุเหตุผลเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัด ตั้งแต่วันที่ 1-30 เมษายน หากมีการฝ่าฝืนให้หัวหน้าหน่วยงานพิจารณาดำเนินการทางวินัย นอกจากนี้ ยังห้ามร้านค้าส่ง จำหน่ายสุราไทยและสุราต่างประเทศตั้งแต่ วันที่ 1-30 เมษายน หากฝ่าฝืนลงโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท

          เช่นเดียวกับ นายสุวพงศ์ กิติภัทย์พิบูลย์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้ออกคำสั่งประกาศจังหวัดแม่ฮ่องสอน เมื่อวันที่ 31 มีนาคม ที่ผ่านมา เรื่องการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อโควิด-19 (ฉบับที่3) 1.ห้ามให้ประชาชน เข้า-ออก พื้นที่ จังหวัดแม่ฮ่องสอนในเวลา 22.00-04.00 น. เว้นแต่ทางการแพทย์และผู้ที่ได้รับการอนุญาต 2.ให้ผู้อาศัยในจังหวัดแม่ฮ่องสอน ห้ามไม่ให้ออกนอกเคหสถาน ในเวลา 22.00-04.00 น. 3.ห้ามคนที่ไม่มีสัญชาติไทยเข้าพื้นที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนโดยเด็ดขาดยกเว้น 3.1 ผู้ที่เดินทางเข้ามาก่อนประกาศนี้ 3.2 เป็นผู้ที่นายกรัฐมนตรีให้การยกเว้น 3.3 เป็นบุคคลในคณะทูต ต่างประเทศ 4.ผู้ที่มีสัญชาติไทยเดินทางมาจากกทม.และจังหวัดในปริมณฑลหรือจังหวัดที่เสี่ยงให้รายงานตัวกับ อสม.หรือผู้นำหมู่บ้านในพื้นที่ทุกราย เพื่อกักตัว 14 วันนับจากวันที่รายงานตัว 5.ให้ผู้ประกอบการโรงแรม ที่พักต่างๆ คัดกรองไข้ก่อนทุกครั้ง จัดทำทะเบียนคุมผู้บริการ หากเป็นชาวต่างชาติให้แจ้งเจ้าหน้าที่ควบคุมโรคทันที หากผู้ใดฝ่าฝืน มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับไม่เกิน 1 แสนบาท มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2563 เป็นต้นไป

          ขณะเดียวกันที่ จ.ชัยภูมิ ผู้ว่าราชการจังหวัดออกประกาศเพิ่มเติม ปิดสถานที่ชั่วคราวประกอบด้วยสนามกีฬาทุกประเภทภายในจังหวัด และคลินิกเสริมความงาม มีผลตั้งแต่วันที่ 31 มีนาคม เป็นต้นไป รวมทั้งให้ร้านสะดวกซื้อทุกแห่งใน จ.ชัยภูมิ ให้จำกัดเวลาเปิดปิดในช่วงเวลาตั้งแต่ 05.00-22.00 น.ของทุกวัน จนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และเร่งให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกตรวจให้ความเข้มงวดขอความร่วมมือจากประชาชนให้งดออกจากบ้านหากไม่จำเป็น หรืออยู่บ้านหยุดเชื้อช่วยชาติ พร้อมให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งปูพรมทำความสะอาดพื้นที่เสี่ยงทุกตารางนิ้ว

          ด้านนายวรพันธุ์ สุวัณณุสส์ ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ลงนามคำสั่งจังหวัดสระแก้วฉบับที่ 8 ระบุว่า 1.ห้างสรรพสินค้าและศูนย์การค้าให้เปิดได้เฉพาะแผนกซุเปอร์มาร์เก็ต แผนกขายยา แผนกอาหาร (ให้เปิดเฉพาะการจำหน่ายอาหารเพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่น) แผนกสินค้าเบ็ดเตล็ดอันจำเป็นต่อการดำรงชีวิต ธนาคาร ตู้เอทีเอ็ม ศูนย์บริการและร้านจำหน่ายหรือซ่อมโทรศัพท์มือถือหรือระบบสื่อสาร ตั้งแต่วันที่ 2-30 เมษายน 2.ร้านสะดวกซื้อ หรือร้านที่มีลักษณะคล้ายคลึงกัน ให้เปิดบริการได้เฉพาะในช่วงเวลา 05.00-23.00 น. ตั้งแต่วันที่ 2-30 เมษายน

          นอกจากนี้ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า มีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ “หวานใจ โดเรมอน” โพสต์บรรยายภาพกลุ่มวัยรุ่นที่รวมตัวกันอยู่บริเวณหน้าโรงพยาบาลนครพิงค์ อ.แม่ริม จ.เชียงใหม่ ช่วงเช้ามืดวันที่ 1 เมษายน โดยไม่อยู่บ้านตามที่มีการรณรงค์ขอความร่วมมือให้อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ และไม่สวมใส่หน้ากากอนามัยป้องกันในช่วงสถานการณ์การแพร่เชื้อโควิด-19 เมื่อเจ้าหน้าที่ทำการคัดกรองก่อนที่จะเข้าโรงพยาบาลและตักเตือน กลุ่มวัยรุ่นกลับแสดงพฤติกรรมไม่เหมาะสม และขึ้นเสียงใส่บอกว่าไปเที่ยวมาเลยไม่ได้ใส่หน้ากาก แล้วเดินเข้าไปในห้องฉุกเฉิน ซึ่งโพสต์ดังกล่าวมีผู้เข้าไปแสดงความเห็นตำหนิพฤติกรรมดังกล่าวของวัยรุ่นกลุ่มนี้ และให้กำลังใจผู้โพสต์ที่เป็นเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลจำนวนมาก

          ทั้งนี้ โพสต์ดังกล่าวบรรยายข้อความว่า “อยู่บ้านเพื่อหมอ เพื่อเจ้าหน้าที่..กลุ่มนี้คงไม่รู้จัก...เวลาประมาณตี 4 มีรถเก๋งขับมาจอดตรงจุดหน้าคัดกรองอย่างเร็ว เราก็ออกไปสแกนไข้ตามระเบียบคัดกรอง กลุ่มเด็กวัยรุ่นลงรถเก๋งมาประมาณ 5 คน แต่ละคนอายุประมาณ 15-18 ไม่มีใครใส่มาสก์สักคน..เราก็บอกว่าน้องใส่มาสก์ก่อนขึ้นไปตรวจครับ..มันจ้องหน้าเราไม่พูดเดินขึ้นไปห้องฉุกเฉินเฉย เราเตือนอีกรอบ ทีนี้มันตะคอกใส่เราบอกว่ารู้แล้ว ไปเที่ยวมาเลยไม่ได้ใส่..สักพักมีมอเตอร์ไซค์ขี่เข้ามาใน รพ.ประมาณเกือบ 10 คัน ไม่มีใครใส่มาสก์เหมือนกัน..แล้วพูดเสียงดังโวยวายพูดประชดแดกดัน...ทำเดินวนไปมาจ้องหน้าขู่ สักพักแว้นรถออกไปเสียงรถลากยาว..ยกนิ้วกลางแถมให้เราอีก...ไว้อาลัยจริงๆ”

          อย่างไรก็ตามผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ เปิดเผยว่า เป็นเจ้าหน้าที่ปฏิบัติหน้าที่ที่จุดคัดกรองวัดอุณหภูมิสแกนไข้ที่บริเวณทางเข้า รพ.นครพิงค์ เมื่อช่วงเช้ามืดที่ผ่านมา เวลาประมาณ 04.00 น. ระหว่างปฏิบัติหน้าที่อยู่จุดคัดกรองอยู่นั้น ได้มีกลุ่มวัยรุ่นชาย-หญิง อายุประมาณ 15-18 ปี จำนวน 5 คน ลงจากรถเก๋ง นำเพื่อนชายซึ่งได้รับบาดเจ็บอ้างว่าเกิดจากการหกล้ม ปวดข้อมือ แต่ละคนไม่ใส่หน้ากากอนามัย จึงอนุญาตให้คนเจ็บเพียงคนเดียวเข้าไปยังห้องฉุกเฉิน พร้อมกับกล่าวตักเตือนกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่สวมใส่หน้ากากอนามัย แต่กลับสร้างความไม่พอใจให้กลุ่มวัยรุ่น และได้พูดตะคอกตอบกลับมาว่ารู้แล้วแต่ไปเที่ยวกันมาเลยไม่ได้ใส่ แล้วก็พากันออกจากโรงพยาบาลไป

          ต่อมาไม่นานกลุ่มวัยรุ่นกลุ่มดังกล่าวใช้รถจักรยานยนต์เป็นพาหนะรวมประมาณ 10 กว่าคันทั้งชาย-หญิง แต่ละคนไม่ได้ใส่หน้ากากเช่นกัน เข้ามาที่โรงพยาบาลอีก โดยแสดงอาการไม่พอใจเจ้าหน้าที่จุดคัดกรอง ทางเจ้าหน้าที่จึงได้แจ้งไปยังเจ้าหน้าที่ตำรวจประจำจุดดอนแก้วมาควบคุมสถานการณ์ เพราะหวั่นเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น ซึ่งทางกลุ่มวัยรุ่นยังแสดงอาการก้าวร้าวขึ้นนั่งบนราวเหล็กกั้น เจ้าหน้าที่ก็ขอร้องอย่าขึ้นไปนั่งเพราะทางโรงพยาบาลห้ามนั่งบนราวเหล็กกั้น และเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เจรจาให้แยกย้ายกลับบ้าน แต่กลุ่มวัยรุ่นก็ไม่ยอมกลับง่ายๆ เดินวนไปมา พูดประชดต่างๆ นานา จ้องหน้าแสดงความไม่พอใจ ก่อนที่จะพากันขี่รถจักรยานยนต์ออกไป พร้อมชูนิ้วกลางให้เจ้าหน้าที่ ส่วนเด็กวัยรุ่นที่ได้รับบาดเจ็บแพทย์ได้เอกซเรย์ที่ข้อมือกระดูกไม่แตกหัก พร้อมกับอนุญาตให้ผู้ปกครองนำตัวกลับบ้าน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนับเป็นพฤติกรรมของกลุ่มวัยรุ่นที่ไม่เหมาะสมในช่วงที่มีการเข้มงวดกวดขันป้องกันการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19

 

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ