ข่าว

ยกมาตรการเข้ม"กทม.-ปริมณฑล"-8จังหวัด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

กทม.สั่งปิดเพิ่ม 9 สถานที่ป้องกันโควิดระบาด ลานดนตรี รวมจัดเลี้ยง งานแต่งงาน ร้านสนุกเกอร์ คลินิกเสริมสวย พร้อมอนุโลมเปิด 3 สถานที่ รัฐบาลทุ่ม 1,500 ล้านจัดซื้อยา-เวชภัณฑ์สู้ไวรัส

กรณีรัฐบาลประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน พร้อมตั้งจุดตรวจสกัด 359 ด่านทั่วประเทศเพื่อยับยั้งการแพร่ระบาดเชื้อไวรัส โควิด-19 หลังจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตยังสูงขึ้นไม่หยุดนั้น

 

 

 

 

 

เมื่อวันที่ 27 มีนาคม ที่ทำเนียบรัฐบาล นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกกระทรวงสาธารณสุข ในฐานะโฆษกศูนย์บริหารสถานการโควิด-19 (ศบค.) แถลงผลการประชุมว่า ในที่ประชุม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม กล่าวชื่นชมประชาชนที่ให้ความร่วมมือมาตรการป้องกันการแพร่เชื้อ เช่น การเว้นระยะห่างในการนั่งรถโดยสารประจำทาง และการเว้นระยะห่างในการนั่งรับประทานอาหาร เป็นต้น พร้อมกันนี้ กระทรวงสาธารณสุข(สธ.)ได้รายงานให้ที่ประชุมทราบว่าขณะนี้เตียงรองรับผู้ติดเชื้อเพียงพอ มีการปรับปรุงโรงแรม ให้เป็นหอผู้ป่วยเฉพาะกิจในพื้นที่กรุงเทพฯ จำนวน 250 เตียง ในส่วนนี้จะใช้รองรับผู้ป่วยที่มีอาการน้อย ซึ่งเป็นผู้ป่วยส่วนใหญ่

 

 

 

 

อีกทั้งในส่วนของเวชภัณฑ์ มีการอนุมัติให้บริษัทเอกชนจำหน่วยชุดตรวจแบบสอดเข้าโพรงจมูกเพิ่มเติม 12 บริษัท และชุดเจาะเลือดตรวจภูมิคุ้มกันอีก 3 บริษัท อย่างไรก็ตาม มีงบกลาง 1,500 ล้านบาท ให้สธ.เป็นหน่วยงานกลางจัดซื้อจัดหาเวชภัณฑ์ และอุปกรณ์ทางการแพทย์ แจกจ่ายให้แก่บุคลากรทางการแพทย์ทั่วประเทศเพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน

ทั้งนี้ ปลัดกระทรวงมหาดไทยได้เสนอให้จังหวัดที่มีผู้ป่วยมากและความเสี่ยงสูงต้องยกระดับการป้องกันให้เข้มข้นขึ้นทุกมาตรการ โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล ชลบุรี ระยอง อุบลราชธานี และที่เน้นหนักมากเป็นพิเศษ ได้แก่ สงขลา ปัตตานี ยะลา นราธิวาส รวมถึงภูเก็ต ซึ่งมาตรการต่างๆ แล้วแต่ทางจังหวัดจะไปปรับใช้ให้สอดคล้อองกับมาตรการของ สธ. ซึ่งที่ประชุมไม่ได้มีการพูดถึงคำสั่งเคอร์ฟิว

ขณะที่กระทรวงการต่างประเทศ รายงานว่าจะมีการเช่าเหมาลำไปรับคนไทยในอิตาลีกลับประเทศไทย โดยผู้ที่จะกลับมาต้องมีใบรับรองแพทย์ โดยกระทรวงการต่างประเทศจะดูแลอย่างดี นอกจากนี้ ที่ประชุมได้มีการหารือปัญหาเกี่ยวกับหน้ากากอนามัย โดยปลัดกระทรวงพาณิชย์เสนอที่ประชุม 3 เรื่อง 1.ตั้งศูนย์บริการจัดการหน้ากากอนามัยระดับชาติ 2.ตั้งคณะอนุกรรมการกำหนดราคากลางเวชภัณฑ์ระดับประเทศ 3.ตั้งคณะกรรมการพิจารณาการอนุญาตส่งออกไปนอกราชอาณาจักรของหน้ากากอนามัย เพราะมีการรับจ้างผลิตหน้ากากอนามัยโดยมีลิขสิทธิ์ ซึ่งต้องการดูสัญญาและความต้องการทั้งในและต่างประเทศ โดยจะต้องมีการพิจารณาความต้องการของคนในประเทศด้วย ซึ่งต้องดูข้อกฎหมายประกอบกัน

กทม.ปิดเพิ่ม9สถานที่เสี่ยง

ต่อมา ร.ต.อ.พงศกร ขวัญเมือง โฆษกกรุงเทพมหานคร(กทม.) แถลงมาตรการเพิ่มเติมว่า คณะกรรมการโรคติดต่อ กทม. พิจารณาให้มีการปิดสถานที่เพิ่มเติม 5 สถานที่ และอนุโลมให้เปิดบางสถานที่ โดยสถานที่สั่งปิดเพิ่ม 1.สนามแข่งขันทั้งคนและสัตว์ เช่น สนามแข่งขันนกพิราบ และนกเขา 2.สนามเด็กเล่นทั้งสวนสาธารณะและในหมู่บ้าน 3.สถานที่แสดงมหรสพและสถานที่มีการละเล่นสาธารณะ เช่น ลานแสดงดนตรีในพื้นที่สาธารณะ 4.พิพิธภัณฑ์ และ 5.ห้องสมุด ซึ่งจะมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคม-30 เมษายน

นอกจากนี้มีสถานที่ปิดเพิ่ม คือ 1.ห้องประชุม หรือห้องจัดเลี้ยงในโรงแรม หรือสถานที่รับจัดเลี้ยง 2.ร้านสนุกเกอร์ 3.คลินิกเสริมความงาม สถานเสริมความงาม ที่ประกอบเวชกรรม ทั้งหมดมีผลตั้งแต่วันที่ 28 มีนาคมเป็นต้นไป และ 4.สถานที่รับเลี้ยงเด็กของรัฐและเอกชน จะมีผลในวันที่ 31 มีนาคม ยกเว้นสถานที่เลี้ยงเด็กในโรงพยาบาล 

ส่วนพื้นที่อนุโลมให้เปิดได้ คือ 1.พื้นที่จัดให้รับประทานอาหารในโรงพยาบาล แต่ต้องมีมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม 2.ตลาดหรือตลาดนัดอนุญาตให้ร้านดอกไม้ขายได้ 3.พื้นที่หน่วยงานของรัฐและรัฐวิสาหกิจในห้างสรรพสินค้า เช่น ไปรษณีย์ในห้าง และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง (ตม.)

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้ทำหนังสือด่วนถึงผู้ว่าราชการทุกจังหวัด เรื่องอนุญาตให้พิจารณาผ่อนผันให้ศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการได้ โดยระบุว่า เนื่องด้วยการปิดห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศทำให้ศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือในห้างทั่วไปต้องปิดไปด้วย จึงมีประชาชนร้องเรียนได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถไปใช้บริการเมื่อโทรศัพท์มือถือมีปัญหา โดยเฉพาะกรณีซิมโทรศัพท์เสีย(ซิมดับ)หรืออุปกรณ์โทรศัพท์มือถือชำรุด จึงเห็นว่าเพื่อเป็นการบรรเทาปัญหาจึงให้จังหวัดพิจารณาผ่อนผันให้ศูนย์บริการโทรศัพท์มือถือในห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการประชาชนได้

รวมปิด34จุดเสี่ยงในเมืองกรุง

มีรายงานว่า ผู้ว่าฯ กทม.ได้ออกประกาศฉบับที่ 4 สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว คือ 1.ร้านอาหาร-เครื่องดื่ม ทั้งทีึ่อยู่ในคูหา รถเข็น แผงลอย ให้เปิดขายเฉพาะสั่งกลับบ้านเท่านั้น ส่วนร้านอาหาร-เครื่องดื่มในโรงแรม ให้บริการเฉพาะผู้ที่พักอาศัยภายในโรงแรมและสั่งกลับบ้านเท่านั้น ยกเว้นร้านอาหาร-เครื่องบินในสนามบิน และโรงอาหารในโรงพยาบาลที่ให้รับประทานภายในร้านได้ แต่ต้องมีมาตรการโซเชียลดิสแทนซิ่งอย่างเคร่งครัด2.ห้างสรรพสินค้า ศูนย์การค้า คอมมูนิตี้มอลล์ เปิดได้เฉพาะซูเปอร์มาร์เก็ต ร้านขายยา และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการใช้ชีวิต ร้านอาหารสำหรับสั่งกลับบ้าน ธนาคาร หน่วยงานของรัฐ และรัฐวิสาหกิจเท่านั้น3.พื้นที่นั่ง-ยืนรับประทานอาหารในร้านสะดวกซื้อ4.ตลาดนัด-ตลาด ให้เปิดขายเฉพาะอาหารสด อาหารแห้ง อาหารปรุงสำเร็จเพื่อนำกลับไปบริโภคที่อื่น อาหารสัตว์ ร้านขายยา ร้านดอกไม้สด เวชภัณฑ์ และสินค้าเบ็ดเตล็ดที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต

5.ร้านเสริมสวย แต่ง-ตัดผม6.ร้านสักผิวหนังหรือเจาะส่วนใดส่วนหนึ่งของร่างกาย7.สถานที่เล่นสเกต โรลเลอร์เบลด หรือการเล่นแบบอื่นๆ ในทำนองเดียวกัน8.สวนสนุก สถานที่เล่นโบว์ลิ่ง ตู้เกม9.ร้านเกม-อินเทอร์เน็ต10.สนามกอล์ฟรวมสนามฝึกด้วย11.สระว่ายน้ำ หรือกิจการอื่นในทำนองเดียวกัน12.สนามชนไก่ รวมสนามซ้อมด้วย13.ศูนย์พระเครื่อง พระบูชา และสนามพระเครื่อง พระบูชา14.ศูนย์แสดงสินค้า ศูนย์ประชุมและจัดนิทรรศการ15.สถานศึกษาทุกระดับและสถาบันกวดวิชา16.สถานที่ให้บริการควบคุมน้ำหนัก คลินิกเวชกรรมด้านความงาม คลินิกเสริมความงาม และสถานเสริมความงาม17.สปา ร้านนวดเพื่อสุขภาพและความงาม18.สถานที่อาบน้ำ สปา ตัดขน รวมถึงสถานที่รับผากสัตว์เลี้ยง19. สถานประกอบการอาบ อบ นวด20.สถานประกอบกิจการอาบน้ำ อบไอน้ำ อบสมุนไพร21.โรงภาพยนตร์ โรงละคร โรงมหรสพ22.สถานที่ออกกำลังกาย

23.สถานบริการและสถานประกอบการที่คล้ายสถานบริการ24.สนามมวย โรงเรียนสอนมวย25.สนามกีฬา26.สนามม้า27.สนามแข่งขันทุกประเภท28.สนามเด็กเล่น29.สถานที่แสดงมหรสพ สถานที่มีการแสดงหรือการละเล่นสาธารณะ30.พิพิธภัณฑสถาน พิพิธภัณฑ์ท้องถิ่น รวมถึงพิพิธภัณฑ์ในลักษณะเดียวกัน31.ห้องสมุดสาธารณะ ห้องสมุดชุมชน ห้องสมุดเอกชน และบ้านหนังสือ 32.สถานที่ให้บริการห้องประชุม ห้องจัดเลี้ยง สถานที่จัดเลี้ยง รวมถึงสถานที่อื่นใดที่มีลักษณะเดียวกัน33.โต๊ะสนุกเกอร์ บิลเลียต และ34.สถานรับเลี้ยงเด็ก เว้นสถานรับเลี้ยงเด็กในโรงพยาบาล

ทุ่ม1,500ล้านซื้อยา-เวชภัณฑ์

ด้าน นพ.สุขุม กาญจนพิมาย ปลัดสธ. ให้สัมภาษณ์ว่า นายกรัฐมนตรีได้สนับสนุนงบประมาณ 1,500 ล้านบาท ให้สธ.จัดหายาที่จำเป็น เวชภัณฑ์ทางการแพทย์ เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยให้องค์การเภสัชกรรม(อภ.)จัดซื้อแบบรัฐต่อรัฐ อาทิ ยาฟาวิราเวียร์ ซึ่งเป็นยามาตรฐานที่ใช้ในการรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปอดอักเสบรุนแรง จำนวน 340,000 เม็ด รักษาได้ประมาณ 6,000 คน หน้ากาก N95 จำนวน 2 ล้านชิ้น ชุดPPE จำนวน 2 ล้านชุด รวมถึงยาที่แพทย์กำหนดไว้ในแนวทางให้การรักษา เช่น ยาไฮดรอกซีคลอโรควิน ยาต้านไวรัสเอดส์ดารุนาเวียร์ และยาอะซิโธรมัยซิน

ส่วนการกระจายยาและเวชภัณฑ์ จะบริหารจัดการจัดสรรผ่านศูนย์ปฏิบัติการกระจายเวชภัณฑ์ในภาวะโควิด-19 ที่มี อภ. สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา(อย.) และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รับผิดชอบจัดส่งให้โรงพยาบาลภาครัฐทุกสังกัด ทั้ง สธ. มหาวิทยาลัย สภากาชาดไทย กทม. ตำรวจ ทหาร และโรงพยาบาลเอกชนที่ให้การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 โดยเบิกจ่ายจากศูนย์ปฏิบัติการกระจายเวชภัณฑ์ฯ ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ขอให้โรงพยาบาลแจ้งความต้องการที่ศูนย์ปฏิบัติการกระจายเวชภัณฑ์ฯ เพื่อให้บุคลากรในโรงพยาบาลทุกแห่งมีอุปกรณ์ในการป้องกันตนเอง และยารักษาผู้ป่วยอย่างเพียงพอ

สำหรับหน้ากากอนามัยจากการประสานกระทรวงพาณิชย์ได้รับการจัดสรรให้ระบบสาธารณสุขเพิ่มเป็น 1.5 ล้านชิ้นต่อวัน จากเดิม 1 ล้านชิ้นต่อวัน เพื่อให้เพียงพอสำหรับแพทย์ พยาบาล และบุคลากรที่ต้องสัมผัสใกล้ชิดผู้ป่วย เช่น พนักงานเปล แม่บ้าน รวมทั้งอาสาสมัครสาธารณสุขที่ต้องออกติดตามดูแลผู้กักกันตนเองที่บ้าน

“กระทรวงสาธารณสุขได้ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ติดตามกลุ่มเสี่ยงจากต่างประเทศ จากกทม.กลับต่างจังหวัด และผู้สัมผัสจากสถานที่เสี่ยง เพื่อป้องกันการแพร่กระจายโรค สิ่งสำคัญที่สุดในวันนี้คือขอให้ประชาชนไม่เดินทางออกจากพื้นที่ เว้นระยะห่างทางสังคม งดกิจกรรมรวมกลุ่ม สังสรรค์ ร่วมสู้โควิด-19 ไปด้วยกัน” นพ.สุขุมกล่าว

ขณะที่ นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล กล่าวว่า วันนี้เรามีคนติดเชื้อในกทม.และต่างจังหวัด ถ้าเราไม่หยุดเชื้อ อุปกรณ์จะไม่พอ แพทย์ไม่พอ และจะมีคนตายเพิ่มขึ้น หากบุคลากรทางการแพทย์ติดเชื้อ 1 คน ทั้งทีมเป็น 10 คน ต้องหยุดกักโรค 14 วัน วันนี้ยังมีคนไทยจำนวนหนึ่งไม่มีวินัย และคนเพียงแค่หยิบมือเดียวก็ทำให้โรคระบาด กราฟลงมาก็จริงแต่ลงไม่มาก ภายในไม่กี่วันนี้ ตัวเลขของเราแตะ 2,000 คนแน่ๆ โดยเฉพาะการเคลื่อนย้ายคนข้ามจังหวัด มีโอกาสผลตรวจจะออกมาเป็นบวก ถ้าเราทะลุ 2,000 คน ตัวเลขของเราจะวิ่งเร็วขึ้นไปอีก ภายใน 3-4 วันนี้ เราอาจมีตัวเลขคงที่ แต่เชื่อว่าใน 2 สัปดาห์นี้ เราจะเห็นตัวเลขก้าวกระโดดขึ้นอีก เรายังอยู่ในภาวะเสี่ยง มีโอกาสที่ผู้ป่วยจะเพิ่มขึ้น และมีโอกาสที่ผู้ป่วยจะมีอาการรุนแรงขึ้น

ด่านวันแรกพบมีไข้กว่า100

วันเดียวกัน พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข รอง ผบ.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ภัคพงศ์ พงษ์เภตรา ผบช.น. พ.ต.อ.นคร ทองพานิช ผกก.สน.บางนา ได้ลงพื้นที่ด่านตรวจคัดกรองโควิด-19 บริเวณหน้าอาคารอินเตอร์ลิงค์(เนชั่น) ถนนบางนา-ตราด เขตรอยต่อ จ.สมุทรปราการ

พล.ต.อ.สุวัฒน์ เปิดเผยว่า สำหรับด่านคัดกรองโควิด-19 จะคัดกรองคนที่มีอาการไอแห้ง มีไข้สูง เจ็บคอ หายใจลำบาก ปวดเมื่อยร่างกาย ซึ่งจากผลการปฏิบัติเมื่อวันที่ 26 มีนาคม ทั้ง 359 ด่านทั่วประเทศ พบผู้มีอุณหภูมิสูงกว่า 100 คน ได้ส่งให้สาธารณสุขดำเนินการต่อ อย่างไรก็ตามการตั้งด่านขึ้นเพื่อสร้างความรับรู้ให้แก่ประชาชนในเรื่องที่รัฐบาลอยากให้ควบคุมการเคลื่อนที่เท่าที่จำเป็น ขณะเดียวกันคาดหวังว่าจะเป็นประโยชน์เป็นจุดคัดกรองเนื่องจากระบบสาธารณสุขเน้นคัดกรองเชิงรุกเพื่อตามหาบุคคลที่เป็นผู้ต้องสงสัยว่าอาจจะมีการติดเชื้อ โดยด่านตรวจคัดกรองเป็นการทำงานร่วมกับหลายหน่วยไม่ว่าจะเป็นเจ้าหน้าที่สาธารณสุข ในเขตกรุงเทพฯ เจ้าหน้าที่กระทรวงพาณิชย์ และหน่วยที่เกี่ยวข้อง อาจจะมีการขอดูบัตรประชาชน เพื่อดูอายุ สอบถามการเดินทางไปมา เพื่อเก็บข้อมูลไว้วิเคราะห์ความเคลื่อนไหวที่ยังไม่ถูกควบคุมมากน้อยแค่ไหน

สำหรับด่านหน้าอาคารอินเตอร์ลิงค์ตั้งขึ้นเป็นวันแรก ไม่มีพื้นที่เพียงพอรองรับ ซึ่งอาจจะต้องมีการปรับเปลี่ยนพิจารณาย้ายจุด ตอนนี้มีความขลุกขลักอยู่หลายเรื่อง และความพร้อมของเจ้าหน้าที่หลายส่วน เพราะกำลังพลมีจำกัด ทั้งนี้ได้รับรายงานเรื่องการตั้งด่านหลายจุดในเขตรอยต่อกรุงเทพฯ ทำให้เกิดจราจรติดขัดบ้าง ก็ต้องมีการปรับเปลี่ยน เข้มตรวจในช่วงที่จราจรเบาบาง หรือปัญหาเครื่องวัดอุณหภูมิไม่เสถียรก็พยายามแก้ไขปัญหาอยู่ ซึ่งอยากขอให้เข้าใจว่าการตั้งด่านเป็นการควบคุมการเคลื่อนที่ของประชาชน จะให้มีความสะดวกคงเป็นไปไม่ได้ คิดว่ากว่าด่านตรวจจะเข้าที่เข้าทางวัดผลได้คงประมาณ 3-4 วัน

รับคนไทยในอิตาลีกลับประเทศ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโรม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก Royal Thai Embassy Rome ในวันนี้ เกี่ยวกับความเป็นไปได้ที่ การบินไทย จะเปิดเที่ยวบินพิเศษ เพื่อรับคนไทยตกค้างอยู่ในอิตาลีกลับประเทศไทย โดยโพสต์ระบุว่า มีความเป็นไปได้จะมีเที่ยวบิน TG จากโรม กลับ กทม. อีก 1 เที่ยว ประมาณในวันที่ 30 มีนาคม แต่จะต้องมีผู้โดยสารจองที่นั่ง โรม-กรุงเทพฯ ประมาณ 250 คน โดยค่าบัตรโดยสารที่นั่งละ 750 ยูโร ดังนั้นขอให้ผู้มีสัญชาติไทยที่พร้อมที่จะเดินทาง โปรดแสดงความจำนงมาที่ อีเมล [email protected] หรือโทรศัพท์ฮอตไลน์ + 393338518071 ภายในวันศุกร์ที่ 27 มีนาคม หากมีจำนวนผู้โดยสารเพียงพอจะแจ้งวิธีการจองตั๋วให้ทราบต่อไป

เลื่อนเกณฑ์ทหารไปเดือนก.ค.

มีรายงานว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามคำสั่งกระทรวงกลาโหมที่ 357/2563 เรื่อง เลื่อนกำหนดการตรวจเลือกทหารกองเกิน เข้ารับราชการกองประจำการ ปี 2563 โดยระบุว่า ตามที่กองทัพบกได้กำหนดให้มีการตรวจเลือกทหารกองเกิน เข้ารับราชการกองประจำการ ระหว่างวันที่ 1-12 เมษายนนั้น เนื่องจากปัจจุบันเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดต่อจากเชื้อไวรัสโควิด-19 ในประเทศไทย นายกฯ โดยความเห็นชอบของคณะรัฐมนตรี (ครม.) ได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินทั่วประเทศตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ซึ่งมีผลเมื่อวันที่ 26 มีนาคม-30 เมษายน ดังนั้นเพื่อเป็นการควบคุมป้องกันและลดความเสี่ยงของทหารกองเกินและประชาชน จึงให้เลื่อนกำหนดการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับราชการกองประจำการประจำปี 2563 จากเดิมออกไปเป็นระหว่างเดือนกรกฎาคมถึงสิงหาคม 2563 สำหรับขั้นตอนและวิธีการปฏิบัติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องปฏิบัติตามกฏหมาย ข้อบังคับ ระเบียบ ประกาศ คำสั่ง และหลักเกณฑ์ ที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด

ทั้งนี้ ทหารกองเกินที่ได้รับหมายเรียกเข้ารับราชการทหาร (สด.35) เพื่อเข้ารับการตรวจเลือกในปี 2563 ไม่สามารถอ้างเหตุในการเลื่อน ว่าจะไม่มาทำการตรวจเลือกตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนดการตรวจเลือกครั้งใหม่ได้

กทม.แจกหน้ากากผ้าให้9วัด

วันเดียวกัน ผู้สื่อข่าวรายงานว่า กทม.โดยสำนักพัฒนาสังคม ได้จัดทำหน้ากากอนามัยชนิดผ้า จำนวน 1,800 ชิ้น และแอลกอฮอล์เจล 270 ขวด ถวายแด่พระสงฆ์ 9 วัด ได้แก่ วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร วัดราชนัดดารามวรวิหาร วัดเทพธิดารามวรวิหาร วัดมหรรณพารามวรวิหาร วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร วัดสังเวชวิศยาราม วัดพรหมวงศาราม (วัดหลวงพ่อเณร) วัดพระราม 9 กาญจนาภิเษก และวัดทัศนารุณสุนทริการาม โดยถวายหน้ากากอนามัยวัดละ 200 ชิ้น และแอลกอฮอล์เจลวัดละ 30 ขวด สำหรับให้พระภิกษุ และสามเณรใช้ดูแลสุขอนามัย ป้องกันการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

นางศิลปสวย ระวีแสงสูรย์ ปลัดกทม. กล่าวว่า หน้ากากอนามัยผ้าที่โรงเรียนฝึกอาชีพกทม. 8 แห่ง สำนักงานเขตร่วมกับชุมชนทั้ง 50 เขต หน่วยงานในสังกัดตลอดจนหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอื่นๆ สามารถผลิตได้ขณะนี้มีจำนวนรวมทั้งสิ้น 133,836 ชิ้น โดยกทม.จะนำไปแจกจ่ายแก่ประชาชนได้อย่างทั่วถึงต่อไป

ไม่ปิดสภาปรับวิธีทำงานแทน

ที่รัฐสภา นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่นายสิระ เจนจาคะ ส.ส.กทม. พรรคพลังประชารัฐ เรียกร้องให้ปิดอาคารรัฐสภา โดยอ้างถึงความกังวลของข้าราชการกลัวติดไวรัสโควิด-19 ว่า อาคารรัฐสภาไม่สามารถปิดได้ เพราะเป็นสถานที่ราชการรวมถึงหน่วยงานราชการต่างๆ ก็ไม่สามารถปิดได้เช่นกัน เพียงแต่ขอความร่วมมือ เช่น ไม่เดินทาง ไม่อยู่ในที่แออัดเกินไป ส่วนข้าราชการบางส่วนที่ไปทำงานตามอาคารเช่าต่างๆ เท่าที่ไปตรวจเยี่ยมมามีสภาพแออัด ซึ่งก็ได้มีการปรับให้ส่วนหนึ่งกลับไปทำงานที่บ้านเพื่อให้เกิดความไม่หนาแน่นเกินไป ซึ่งตนก็เห็นด้วย

ส่วนการประชุมของคณะกรรมาธิการ(กมธ.)ชุดต่างๆ ของสภาผู้แทนราษฎร นายชวน กล่าวว่า ส่วนใหญ่การทำงานของกมธ.ไม่มีการประชุมแล้ว แต่ก็เหลือเพียงคณะกมธ.ป.ป.ช.ก็ต้องให้เกียรติในการพิจารณาว่าจะประชุมต่อไปหรือไม่ เพราะเชื่อว่าทุกคนมีวุฒิภาวะแล้ว ส่วนจะสั่งให้ปิดสภาเลยเป็นไปไม่ได้ต้องทำงานตามปกติ เมื่อถามว่านายชวนเป็น 1 ใน 3 บุคคลที่รัฐบาลแนะนำว่าควรอยู่ที่บ้าน นายชวน กล่าวว่า ตนมาทำงานตามปกติ เพราะยังมีงานต้องทำ และในวันที่ 1 เมษายน ก็ยังมีการประชุมของรัฐบาลเรื่องยุทธศาสตร์ชาติ อีกทั้งงานพระราชพิธีสำคัญ ที่มีการปรับให้ไปร่วมงาน 1-2 คน แทนที่จะไปกันเป็นกลุ่มซึ่งเป็นมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดไวรัส

 

 

 

 

“เราต้องเตรียมเพื่อไม่ให้ประมาท หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดไว้ เช่น หากมีการระบาดรุนแรงไปจนถึงเดือนพฤษภาคม ก็ต้องคิดเผื่อว่าจะใช้ระบบประชุมอย่างไร เพราะจะอ้างว่ามีการแพร่ระบาดแล้วจะงดประชุมก็ไม่ได้ ขณะนี้กำลังติดตามการก่อสร้าง โดยเฉพาะห้องประชุมสุริยันซึ่งเป็นห้องประชุมส.ส. ที่มี 800 ที่นั่ง หากประชุม 400-500 คน ในกรณีที่เป็นกฎหมายสำคัญของรัฐบาล เช่น งบประมาณแผ่นดิน ที่กำลังจะเสนอเข้ามาก็ต้องเตรียมการว่าจะใช้วิธีการอย่างไร เช่น ส.ส. 1 คน นั่งเว้นเก้าอี้ 3 ตัว ได้หรือไม่ เราก็ยังไม่ได้ข้อยุติ แต่ถ้าได้ข้อสรุปก็จะเชิญพรรคการเมืองมาหารืออีกครั้ง” ประธานสภา กล่าว

 

 

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ