ตร.กาฬสินธุ์ตัดไม้พะยูงล้มทับบ้านปชช.นาน3เดือนแล้วตามคำสั่งรองผบ.ตร. ขณะที่ผอ.ส่วนทรัพยากรธรรมชาติชี้เข้าใจคลาดเคลื่อนเรื่องเอกสาร ด้านผู้ว่าฯสั่งซ่อมแซมบ้านให้
จากกรณีไม้พะยูงล้มทับบ้านชาวบ้านใน ต.หัวงัว อ.ยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ ได้รับความเสียหายประสานหลายหน่วยงานเข้าตรวจสอบช่วยเหลือนาน 3 เดือน ไม่ได้รับความช่วยเหลือ เจ้าของบ้านได้รับความเดือดร้อน ต้องย้ายไปอาศัยอยู่กับลูก เนื่องจากไม่กล้าตัดไม้และเคลื่อนย้ายเพราะกลัวผิดกฎหมายตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น พล.ต.อ.ศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ พ.ต.อ.ภัทรพล หาญทนงค์ ผกก.สภ.ยางตลาด เข้าช่วยเหลือเจ้าของบ้าน เข้าเคลียร์พื้นที่โดยการตัดไม้ออก และจัดทำบัญชีเพื่อนำไม้ส่งมอบคืนให้กับสำนักงานป่าไม้ จ.กาฬสินธุ์ ที่ได้ดำเนินการเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้น
ล่าสุดเมื่อเวลา 11.30 น. วันที่ 26 มิ.ย.60 ที่ห้องประชุมอำเภอยางตลาด จ.กาฬสินธุ์ นายสุวิทย์ คำดี ผู้ว่าราชการจังหวัดกาฬสินธุ์ พ.อ.มานพ ไขขุนทด รอง ผอ.กอ.รมน.กาฬสินธุ์ พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และนางหนึ่งฤทัย สารภัคดี เจ้าของบ้าน นายรณชิต พุทธลา นายอำเภอยางตลาด ได้มอบหมายให้ นายสุจินต์ งามฉวีพันธุ์ ปลัดอาวุโส เข้าร่วมประชุมเพื่อหาแนวทางแก้ไขปัญหาและเยียวยาเจ้าของบ้านที่ได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
นายนิยม กิตติวงศ์ตระกูล ผอ.ส่วนทรัพยากรธรรมชาติ สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ กล่าวว่า ในกรณีที่เกิดเหตุการณ์ขึ้นในครั้งนี้ จากการตรวจสอบเอกสารพบว่าเจ้าของบ้านได้มาติดต่อที่สำนักงานจริง แต่ไม่ทราบว่าได้แจ้งเรื่องกับพนักงานคนไหน แต่เอกสารที่ยื่นไปไม่ครบถ้วน เนื่องจากเจ้าของบ้านเคยไปติดต่อขอเอกสารที่ธนาคารอาคารสงเคราะห์แล้ว แต่ทางธนาคารไม่สามารถออกเอกสารให้ได้ ทางเจ้าหน้าที่จึงยังไม่สามารถดำเนินการได้
ขณะนี้นายสุวิทย์ คำดี ผวจ.กาฬสินธุ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนได้เร่งเข้ามาช่วยเหลือเยียวยาเพื่อแก้ไขปัญหา เบื้องต้นจะได้เร่งซ่อมแซมบ้านให้เสร็จภายในวันนี้ เพื่อให้เจ้าของบ้านกลับเข้าไปอาศัยอยู่บ้านได้ตามปกติ
หากเกิดเหตุการณ์ไม้พะยูงล้มทับบ้านในบริเวณที่บ้านของตนเองซึ่งเกิดจากภัยพิบัติหรือจากกระแสลมภัยธรรมชาติ ถ้าอยู่ในโฉนดที่ดินของตนให้เตรียมเอกสารแล้วรีบไปแจ้งเจ้าหน้าที่ ที่สำนักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม จ.กาฬสินธุ์ อย่างเร่งด่วน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่จะทำการตรวจสอบเอกสารหลักฐานและจะพิจารณาภายใน 3-5 วัน จากนั้นทางจังหวัดก็จะแต่งตั้งให้เจ้าหน้าที่ออกมาตรวจสอบและรายงานผลให้ทางผู้ว่าราชการจังหวัดออกคำสั่งเพื่อดำเนินการต่อไป
ข่าวที่เกี่ยวข้อง