คอลัมนิสต์

จุดยืน ปชป. -"ลุงตู่" ไม่สะเทือน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

คอลัมน์...  กระดานความคิด   โดย...  ร่มเย็น 

 

    
          ชัดถ้อยชัดคำสำหรับ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ทั้งโพสต์คลิปวิดีโอลงบนเฟซบุ๊ก “ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน เพราะการสืบทอดอำนาจ เท่ากับสร้างความขัดแย้ง” และยังขึ้นพูดบนเวที THE STANDARD DEBATE “ชัดๆ เลยนะครับ ผมไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อแน่นอน” แค่นั้นไม่พอยังขนกรรมการบริหารพรรคมาแถลงข่าวยืนยันอีกว่าไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ แต่ถามว่า คำประกาศของพรรคประชาธิปัตย์ที่ไม่สนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ หลังเลือกตั้ง จะส่งผลให้เกิดการพลิกผันถึงขนาดดับฝัน พล.อ.ประยุทธ์ หรือไม่ บอกได้เลยว่าไม่ถึงขนาดนั้น แม้ว่าจะทำให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็น   นายกรัฐมนตรีหลังเลือกตั้งยากขึ้นบ้าง เพราะขาดเสียงจากพรรคประชาธิปัตย์ โหวตสนับสนุนเป็นนายกรัฐมนตรีในรัฐสภา

 


          แต่เนื่องจากรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน ได้ออกแบบไว้แล้วโดยเฉพาะเพื่อให้ พล.อ.ประยุทธ์ เป็นนายกฯ ต่อ คือ 1.ให้สมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) มีสิทธิลงมติเห็นชอบการแต่งตั้งบุคคลเป็นนายกรัฐมนตรีด้วย ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับก่อนๆ ไม่เคยมีที่ให้ ส.ว.มาร่วมโหวตเลือกนายกฯ ด้วย และวุฒิสมาชิกมีจำนวน 250 คน ซึ่งมาจากการคัดเลือกของ คสช.ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม ดังนั้น พล.อ.ประยุทธ์ จึงมีเสียงสนับสนุนอยู่ในมือเห็นๆ อยู่แล้ว 250 เสียง และ 2.บุุคคลที่จะได้เป็นนายกรัฐมนตรี ต้องได้เสียงสนับสนุนมากกว่าครึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภา ซึ่งตามรัฐธรรมนูญฉบับนี้ในบทเฉพาะกาล รัฐสภาประกอบด้วยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจำนวน 500 คน และสมาชิกวุฒิสภา จำนวน 250 คน รวม 750 คน ดังนั้น บุคคลที่จะได้เป็นนายกฯ ต้องได้เสียงสนับสนุนจากรัฐสภา 376 เสียงขึ้นไป ในส่วน พล.อ.ประยุทธ์ก็ไปหาคะแนนเสียงสนับสนุนจากสภาผู้แทนราษฎรอีก 126 เสียง ก็จะได้ 376 เสียง และพรรคพลังประชารัฐซึ่งเสนอชื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ในบัญชีชื่อนายกฯ ตามโพลล์ทั้ง ส.ส.เขต และ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ก็น่าจะได้ประมาณ 100 ที่นั่ง ก็หาเสียงจากพรรคการเมืองอื่นอีกในสภาผู้แทนฯ ประมาณ 26 เสียง มาสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ได้เป็นนายกฯ แล้ว ในขณะที่พรรคการเมืองอื่น ต้องไปหาคะแนนเสียงในสภาผู้แทนฯ ถึง 376 เสียง(เพราะไม่มีเสียง ส.ว. 250 เสียง คอยสนับสนุน) บุคคลที่พรรคการเมืองนั้นสนับสนุนจึงจะได้เป็นนายกฯ ซึ่งไม่มีทางหาได้อยู่แล้ว ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับนี้อีกนั่นเอง ที่ออกแบบให้เป็นการเลือกตั้งระบบจัดสรรปันส่วนผสม ซึ่งทำให้พรรคการเมืองได้คะแนนเฉลี่ยกันไป ไม่ให้พรรคการเมืองใดได้คะแนนเสียงจำนวนมากจนเป็นพรคการเมืองขนาดใหญ่

 

 

          อย่างไรก็ตามมีการแย้งในเรื่องที่ว่า พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ ต่อแน่ โดยมองตรงประเด็นที่ว่า รัฐบาลจะอยู่ได้ต้องมีเสียงสนับสนุนรัฐบาลในสภาผู้แทนฯ เป็นเสียงข้างมากด้วย อย่างน้อยต้องเกินครึ่งคือ 251 เสียง (และถ้าจะให้รัฐบาลมีเสถียรภาพ ต้องได้ถึง 270-280 เสียง เผื่อเกิดการหักหลังในสภาผู้แทนฯ) ไม่ใช่มีแค่ 126 เสียงในสภาผู้แทนฯ เพื่อโหวตสนับสนุนนายกฯ เท่านั้น ดังนั้นพรรคพลังประชารัฐซึ่งคาดว่าจะได้ ส.ส. 2 ระบบ รวมกันราวๆ 100 ที่นั่ง หากต้องการตั้งรัฐบาลก็ต้องหาเสียงสนับสนุนในสภาผู้แทนฯ อีกราวๆ 150-200 เสียง แต่เมื่อพรรคพลังประชารัฐไม่สามารถจับมือกับฝั่งพรรคเพื่อไทยและพรรคเครือข่ายได้ ฉะนั้นก็จะเหลือ “ประชาธิปัตย์” เพียงพรรคเดียวเท่านั้น (ไม่นับภูมิใจไทย ชาติพัฒนา ชาติไทยพัฒนา ที่พร้อมร่วมทุกขั้วอยู่แล้ว) นี่คือความสำคัญของพรรคประชาธิปัตย์ที่จะกลายเป็น “ตัวแปรที่แท้จริง” หลังการเลือกตั้ง โดยยุทธศาสตร์ของพรรคคือ พรรคที่ได้คะแนนลำดับ 2 อย่างพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตามโพลล์คาดว่าจะได้ ส.ส.เขตและ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์รวมกันประมาณ 100-120 ที่นั่ง แต่หากใครจะตั้งรัฐบาล จะขาดพรรคประชาธิปัตย์ไม่ได้เลย ฉะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็จะมีอำนาจต่อรองสูงสุด โดยเฉพาะในฝั่งพลังประชารัฐ เพราะไม่มีทางที่พรรคประชาธิปัตย์จะไปจับมือกับพรรคเพื่อไทยได้อยู่แล้ว เนื่องจากนายอภิสิทธิ์ประกาศชัดว่า ตราบเท่าที่พรรคเพื่อไทยไม่สามารถออกมาจากการครอบงำของกลุ่มคนเล็กๆ ที่มีผลประโยชน์กับประเทศ พรรคประชาธิปัตย์ไม่อาจร่วมงานด้วยได้ ในขณะที่คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธ์ุ ประธานยุทธศาสตร์เลือกตั้งพรรคเพื่อไทย ก็สวนทันควันว่าไม่ขอร่วมรัฐบาลกับพรรคประชาธิปัตย์เช่นกัน


          ด้วยเหตุนี้ เมื่อพรรคพลังประชารัฐจำเป็นต้องตั้งรัฐบาลเพื่อสกัดพรรคเพื่อไทย ก็ต้องจับมือกับพรรคเล็กอื่นทุกพรรค รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ด้วย...และนี่จึงเป็นโอกาสให้พรรคประชาธิปัตย์สามารถต่อรองให้ “อภิสิทธิ์” เป็นนายกฯ แทน พล.อ.ประยุทธ์ ได้ ถ้าพรรคพลังประชารัฐไม่ยอม การเมืองก็มีโอกาสติดล็อก ไม่มีฝ่ายใดตั้งรัฐบาลที่มีเสถียรภาพได้เลยทั้งสองฝั่ง และนี่คือแผนลึกของพรรคประชาธิปัตย์กับยุทธศาสตร์พรรคอันดับ 2 ที่ไม่ใช่แค่ร่วมรัฐบาล แต่จะเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลและเป็นนายกฯ ไปพร้อมกันเลย 


          แต่คนที่แย้งแบบนี้ คงลืมคิดไปว่า เมื่อ พล.อ.ประยุทธ์ ได้เป็นนายกฯ และจัดตั้งรัฐบาลใหม่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าจะเป็นรัฐบาลเสียงข้างน้อยในสภาผู้แทนฯ คือมีเสียง ส.ส.สนับสนุน ไม่ถึง 251 เสียง  แต่เมื่อได้เป็นรัฐบาลแล้วจะมีอำนาจต่อรองสูงในการดึงพรรคการเมืองต่างๆ มาสนับสนุนในภายหลัง นี่ยังไม่รวมถึงการพร้อมที่จะเกิด “งูเห่า” ในสภา ผู้แทนยกมือโหวตสนับสนุนรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ ในเรื่องต่างๆ เพราะแม้ว่าสุดท้ายอาจถูกขับออกจากพรรค แต่ก็รัฐธรรมนูญฉบับนี้เองที่ให้ ส.ส.หาพรรคการเมืองใหม่สังกัดได้ภายใน 30 วัน ซึ่งพรรคพลังประชารัฐก็พร้อมที่จะอ้าแขนรับ ส.ส.เหล่านั้น อยู่แล้ว เพื่อรัฐบาลจะได้มีความแข็งแกร่งและมีเสถียรภาพมากขึ้น

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ