คอลัมนิสต์

ผ่านโยบายเศรษฐกิจพปชร. สนธิรัตน์ย้ำคิดเพื่อความยั่งยืน

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ผ่านโยบายเศรษฐกิจพปชร. สนธิรัตน์ย้ำคิดเพื่อความยั่งยืน

 

 


          “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ กล่าวกับเครือเนชั่นเกี่ยวกับนโยบายด้านเศรษฐกิจของพรรคที่ใช้หาเสียงว่า “แคมเปญ 7-7-7” คือเศรษฐกิจประชารัฐ สังคมประชารัฐ สวัสดิการประชารัฐ ที่แตกเป็นเจ็ดเรื่องย่อยในแต่ละหมวด

 

 

          เศรษฐกิจประชารัฐคือการเพิ่มรายได้ให้ฐานรากคือ เกษตรกรที่มีราวสามสิบล้านคน เอสเอ็มอีที่มีกว่าร้อยละ 90 ในระบบธุรกิจ เราต้องทำคนกลุ่มนี้ให้เข้มแข็ง และคนรุ่นใหม่และสตาร์ทอัพที่ชอบความอิสระในการทำงาน แรงงานกว่า 10 ล้านคนที่มีอยู่ในทุกระดับ ธุรกิจการค้าและบริการ ตรงนี้พรรคจะมีนโยบายในการยกระดับกลุ่มเหล่านี้


          ภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยมีตัวแปรที่เปลี่ยนเร็ว คือเทคโนโลยีและธุรกิจดิจิทัล เศรษฐกิจวันนี้แทบทุกกลุ่มได้รับแรงกระทบ แสดงว่ามันคือสึนามิที่กวาดทั้งระบบ รัฐบาลใหม่ต้องเข้าใจ เช่น ค้าปลีกแบบเดิมวันนี้จะเหนื่อย เพราะมีอีคอมเมิรซ์เข้ามา ฉะนั้นต้องผสมผสานการแก้ไขทั้งหมดและทั้งระบบ


          เศรษฐกิจไทยวันนี้แบ่งได้ 3 กลุ่มคือ กลุ่มบนที่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหลัก คือทุนนิยมและทุนใหญ่ที่หลายชาติปฏิเสธไม่ได้ วันนี้ทุนต่างชาติไหลเข้าทั่วทุกประเทศ เราจะส่งเสริมทุนใหญ่ของไทยแข่งขันกับทุนต่างชาติได้อย่างไร กลุ่มเอสเอ็มอี เราต้องดูว่าเราจะช่วยเหลือคนกลุ่มนี้ให้รอดได้อย่างไร เพราะกลุ่มนี้คือกลุ่มใหญ่ของประเทศ กลุ่มล่างคือฐานราก คือผู้ใช้แรงงาน แม่ค้าแผงลอยและเกษตรกร

 


          พรรคมองสามมิตินี้และสร้างสมดุลให้เดินไปได้และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการในเรื่องนี้


 


          เมื่อถามว่า แกนนำพรรคทั้ง 4 คนเคยเป็นรัฐมนตรียังแก้ไขไม่ได้ วันนี้จะขับเคลื่อนแนวทางของพรรคที่จะดำเนินการนั้นได้ผลอย่างไร สนธิรัตน์กล่าวว่า "4 ปีเศษที่คสช.และรัฐบาลเข้ามานั้น ขอชี้แจงว่า 2 ปีแรก ต้องแก้ปัญหา เศรษฐกิจไทยเหลือแต่ราก มันคือช่วงแก้ไขและฟื้นฟู ปีที่ 3 เริ่มวางโครงสร้างใหญ่ๆ เช่น อีอีซี การปรับการแข่งขันระหว่างประเทศที่ไม่ได้ทำมา 10 ปีเศษ ช่วงนั้นผมมาทำหน้าที่ดูแลการส่งออก ที่ทำแบบเดิมมากว่า 20 ปี หากยังเป็นแบบนี้ไทยจะแข่งขันกับประเทศที่ใช้แรงงานเป็นหลัก หากไม่เปลี่ยนแปลงไทยจะแข่งขันอย่างไร และปีที่ 4 คือผลักดันการทำงาน ผมทำหน้าที่รมว.พาณิชย์ ได้ 1 ปี และยังทำหน้าที่ไม่เสร็จแต่ต้องลาออกเพื่อทำงานการเมือง


          ฉะนั้นการแก้ปัญหาต้องใช้เวลาแต่ผมและอดีตรัฐมนตรีที่มาอยู่ที่พรรครู้ทิศทางการแก้ไขปัญหาเพราะลงมือไปแล้ว นโยบายพรรคนั้นมองในสิ่งที่ทำและสิ่งที่เกิดขึ้น เมื่อเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยนั้นจะมีความแตกต่าง สถานะ พล.อ.ประยุทธ์ จะเป็นเวอร์ชั่นใหม่ เพราะการเมืองจะมีบริบทที่แตกต่างกัน เพราะจะสัมผัสประชาชนมากขึ้น โดยมีการเชื่อมโยงกับประชาชนที่มาจาก ส.ส.


          เราต้องเห็นมิติที่แตกต่าง 4 ปีที่แล้วมันคือมิติหนึ่ง เพราะประชาชนบางส่วนยังบอกว่านโยบายรัฐบาลยังไปไม่ถึง เพราะไม่มี ส.ส. เมื่อมีพรรคพปชร.แล้วจะรู้ว่าเราตอบความต้องการของประชาชนได้จริงหรือไม่ โดย ส.ส.จะสะท้อนขึ้นมา ตรงนี้คือหัวใจของรัฐบาลประชาธิปไตย และมีความสวยงาม เพราะจะเชื่อมนโยบายกับการปฏิบัติเข้าหากัน


          บางคนบอกว่า พรรคจะเป็นรัฐบาลเผด็จการนั้น ขอเรียนว่าต้องปรับวิธีพูดกันใหม่ หากพรรคได้เป็นรัฐบาลเพราะมาจากการเลือกตั้ง พรรคนี้ตั้งขึ้นเพราะจะมีบทบาทในช่วงเปลี่ยนผ่านทางความขัดแย้งของบ้านเมือง จะเป็นทางออกของประเทศ


          ส่วนการเสนอนายกฯ นั้น พรรคมองการเมืองและความขัดแย้งยังเปลี่ยนไม่มาก นายกฯ ต้องสอดรับกับรัฐธรรมนูญและการเปลี่ยนผ่านของชาติ และทำให้ประชาชนเชื่อว่าจะไม่ย้อนกลับไปเหมือนอดีต


          พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา มีความสุจริต มีประสบการณ์ในการทำงาน สิ่งที่ทำไว้เริ่มออกผล คือหนึ่งในบุคคลที่พรรคมองว่าเหมาะสมกับสถานการณ์ จึงไปเรียนเชิญมา และบุคลิกของผู้นำนั้น ต้องทำให้ชาวบ้านเชื่อมั่นว่าบ้านเมืองจะไม่ย้อนกลับไปแบบอดีต


          ผลโพลล์ในช่วงหลายเดือนมานี้พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ติดอันดับหนึ่งมาตลอด พรรคจึงไปเชิญมา


          สิ่งที่บางคนกล่าวหาว่าพรรคเป็นเผด็จการนั้น ขอเรียนว่ามันเป็นคนละส่วน พรรคไม่มีสิทธิพิเศษเหนือพรรคอื่น และอยู่ในกติกาเดียวกัน แถมยังต้องระวังตัวมากกว่าพรรคอื่นเพราะพรรคนี้เป็นน้องใหม่ที่น่าจะมาแรง การกล่าวหาในข้างต้นนั้นไม่เป็นธรรมกับพรรค”


          เมื่อถามว่า ทหารทำงานการเมืองและมาแก้เศรษฐกิจนั้น มีความชำนาญสู้นักการเมืองมืออาชีพไม่ได้ สนธิรัตน์กล่าวว่า “ความชำนาญแต่ละอาชีพย่อมไม่เหมือนกันแต่เมื่อมารวมเป็นรัฐบาลก็เหมือนรวมแต่ละองค์ประกอบเข้าด้วยกันตามเป้าประสงค์


          รัฐบาล คสช.ทำโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไว้มากกว่าหลายรัฐบาลที่ผ่านมา เช่น อีอีซี, ระบบคมนาคม, รถไฟฟ้าหลายสาย, รถไฟความเร็วสูง, เครือข่ายอินเทอร์เน็ต หากไม่มีสิ่งเหล่านี้ ประเทศจะไม่มีจุดขาย เพราะการลงทุนนั้นนานาชาติหนีออกจากเมืองไทยไปนานแล้ว หากเป็นแบบนั้นเมืองไทยจะแข่งขันอะไรกับชาติอื่นๆ ได้ และเศรษฐกิจในอนาคตจะแข่งขันบนพื้นฐานโครงสร้างดิจิทัล ฉะนั้นจะพบว่ารัฐบาลคสช.ได้วางสิ่งเหล่านี้ไว้


          โครงสร้างนี้ไม่เกิดผลทันที แต่รัฐบาลอื่นๆจะรับอานิสงส์หล่านี้


          พรรครู้ว่าจะขับเคลื่อนอย่างไร
          ก่อนหน้านี้ในช่วงที่ยังทำงานที่กระทรวงพาณิชย์ ไปพบแจ๊ค หม่า ที่ใช้ “เถาเป่าโมเดล” (ต้นแบบการประกอบธุรกิจอีคอมเมิร์ซที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในจีน โดยมีจุดเริ่มต้นจากการรวมตัวของชาวบ้านในชุมชนที่ชาวบ้านกว่า 1,000 ครัวเรือนจับมือกันผลิตและวางขายสินค้าของตนเองและเป็นแรงผลักดันที่สำคัญต่อการพัฒนาอีคอมเมิร์ซในชนบทในจีน) มาปรับใช้ในไทยเพื่อแก้ความยากจนที่ต้องใช้สิ่งใหม่ๆ และต้องทำต่อไป และนำไปเป็นหนึ่งในนโยบายพรรค


          ร้านโชห่วยที่จะใช้บัตรสวัสดิการประชารัฐเข้ามาเพื่อให้อยู่ได้ โดยใช้บัตรเหล่านี้อุ้มชูสังคมแบบดั้งเดิมให้อยู่และต่อยอด ไม่อย่างนั้นมันจะเป็นแบบในที่วันนี้ร้านค้าสะดวกซื้อเข้ามา ร้านโชห่วยตายไป ผมใช้ “อูเล่ โมเดล” ของฮ่องกง (ต้นแบบการค้าออนไลน์ โดยทางการจีนนำมาใช้แก้ไขปัญหาร้านค้ารายย่อย ร้านค้าในชนบทที่กำลังจะปิดตัว จากการเกิดขึ้นและขยายตัวของการค้าผ่านอีคอมเมิร์ซ) มาใช้ เป็นรูปธรรมแก้เศรษฐกิจฐานรากและใช้เวลาในการทำต่อ


          ส่วนที่กล่าวหาว่าเอื้อนายทุนนั้น ผมถามว่า สินค้าอุปโภคบริโภคเหล่านี้ใครผลิต จำหน่ายที่ใดในความจริงวันนี้ ผมนำเม็ดเงินที่จะไปตกที่ห้างสรรพสินค้ามาลงสู่ร้านค้าชุมชนผ่านบัตรนี้ที่หลายหมื่นร้านค้าธงฟ้าประชารัฐทั่วประเทศ ผมทำแบบนี้กลับโดนห้างสรรพสินค้าตำหนิเพราะบัตรนี้ใช้ที่นั่นไม่ได้


          ส่วนข้อหากระเป๋าตุง กระเป๋าแฟบนั้น รอยต่อเศรษฐกิจวันนี้มีรอยต่อที่สูงมาก ช่วงต้นรัฐบาลนี้เศรษฐกิจโลกแย่ และเริ่มกลับมาดีในช่วง 2-3 ปีหลัง เพราะตอนแรกไทยยังส่งออกได้น้อยและค่อยๆ ฟื้นไข้ เราต้องปรับโครงสร้างการส่งออก และรวมทั้งสินค้าเกษตรที่ต้องไล่แก้ปัญหาที่ค้างคาไว้นาน และกว่าจะทำให้ฟื้นได้นั้น มันต้องใช้เวลา"


          ส่วนที่กล่าวหาว่าเศรษฐกิจและส่งออกแย่เพราะเป็นรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจ นานาชาติไม่ยอมรับ สนธิรัตน์ย้ำว่าการค้ากับการเมืองคนละมิติกัน กระเป๋าตุง กระเป๋าแฟบนั้น ควรดูระยะเวลาด้วย เพราะบางครั้งกระเป๋าตุงเพียงแวบเดียว ย้ำว่ารัฐบาลคสช.มีการเลี่ยงการใช้ประชานิยม ไม่อัดฉีดเม็ดเงินเข้าระบบ และค่อยๆ ใช้เวลาให้เศรษฐกิจปรับตัวในช่วงที่ผ่านมา และขอโอกาสพรรคในการเป็นรัฐบาลชุดใหม่ จะทำให้ดู


          ภาระหนี้ครัวเรือนที่มีสูงและสั่งสมมานาน สนธิรัตน์บอกว่า "การจะลดตรงนี้ได้นั้น รัฐบาลพยายามลดภาระหนี้ชนชั้นล่าง นโยบายพรรคจะพักหนี้กองทุนหมู่บ้านสามปีเพื่อให้กองทุนแข็งแรง และปรับเศรษฐกิจฐานราก นโยบายเกษตร เช่น ข้าวนั้นพรรคมีการต่อยอด เพราะได้ชะลอการขายและเพิ่มรายได้ให้ชาวนา ข้าวหอมมะลิวันนี้ 17,000-18,000 บาท ชาวนาพอใจ และการสร้างสมดุลความยั่งยืนสินค้าเกษตรนั้นมี 2 ระยะคือ ทำให้เกษตรกรอยู่ได้ อย่าลืมว่าสินค้าเกษตรนั้นจะออกมาพร้อมกัน หากขายพร้อมกัน ราคาจะถูกลง สินเชื่อยุ้งฉางที่ทำให้เกษกรจะช่วยด้านราคา ฉะนั้นการมียุ้งฉางก็เป็นการชะลอและเก็บไว้ มันจะช่วยราคาไม่ให้ตกลง โดย ธ.ก.ส.ปล่อยกู้จากยุ้งฉาง”


          หากถามว่านโยบายต่างๆ นั้นจะใช้เงินจากที่ใด สนธิรัตน์กล่าวว่า "โครงการรัฐบาลใช้ภาษีทั้งนั้น สินค้าเกษตรนั้นรัฐบาลใช้ภาษี 2 แสนล้านบาทดูแล พรรคคิดนโยบายและมองแล้วว่าใช้งบจากที่ใด เช่น บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใช้เงินกองทุนประชารัฐที่มี 1 แสนล้านบาท หัวใจคือนำคนที่ลำบากมาขึ้นทะเบียนและดูว่าควรช่วยเหลืออย่างไร และต้องฝึกอาชีพเพื่อพัฒนาชีวิตเพื่อให้พ้นจากเส้นความยากจนและมีรายได้ ทิศทางแบบนี้คือแก้ปัญหาเศรษฐกิจระดับล่าง”

 

          "ยืนยันต่อยอดนโยบายรัฐบาลที่ดีๆ และไม่ได้ลอกพรรคใด แก่นของนโยบายพรรคต่างๆ ไม่แตกต่าง มันอยู่ที่รายละเอียดและมียุทธศาสตร์ไว้อย่างไร พปชร.มีนโยบายพรรคที่แตกต่าง ไม่ได้มองระยะสั้น แเต่มองระยะกลางและระยะยาวของคนทุกชนชั้นในประเทศ สิ่งที่บางคนบอกว่าพรรคลอกนโยบายบางพรรคนั้น ขอเรียนว่า การเมืองมีการชิงไหวพริบแต่ประชาชนต้องตัดสิน”

____------------------------------------------------------------------โค้ต-----------------------------------------------


          “พรรคพลังประชารัฐมอง 3 มิติคือ กลุ่มทุนใหญ่ขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ช่วยเหลือกลุ่มเอสเอ็มอี และดูแลกลุ่มล่างที่เป็นฐากราก สร้างสมดุลให้เดินไปได้และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่ต้องดำเนินการในเรื่องนี้”

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ