คอลัมนิสต์

4 ขั้วการเมือง 4 เส้นทางคว้านายกรัฐมนตรี

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

4 ขั้วการเมือง 4 เส้นทางคว้านายกรัฐมนตรี : คอลัมน์...  กวาดบ้านกวาดเมือง  โดย... ลมใต้ปีก


 

          การเมืองไทยวันนี้ มีความชัดเจนว่า แบ่งพรรคแบ่งพวกออกเป็น 4 ขั้ว ที่พอจะแยกให้เห็นได้คือ หนึ่งกลุ่มขั้ว ทักษิณ ชินวิตร ประกอบด้วย พรรคเพื่อไทย พรรคเพื่อธรรม และล่าสุดพรรคเพื่อชาติ (ที่ทักษิณ ชินวัตร จะส่งคนสนิทเข้าไปดูแล) พรรคอนาคตใหม่ พรรคประชาชาติ กลุ่มขั้วที่สอง คือ พรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งเป็นคู่ขัดแย้งตลอดกาลของทักษิณ แต่ความขัดแย้งอาจจะรวมกันได้หลังเลือกตั้ง กลุ่มขั้วที่สาม คือ พรรคพลังประชารัฐ เป็นพรรคเกิดใหม่ที่ใครๆ ก็รู้ว่าได้รับแรงสนับสนุนจากรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะผนึกกับพรรครวมพลังประชาชาติไทย ของลุงกำนัน(สุเทพ เทือกสุบรรณ) และขั้วที่สี่ คือ ขั้วที่พร้อมเข้ากับทุกขั้วคือพรรครอเสียบ อันได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคชาติไทยพัฒนา พรรคชาติพัฒนา และพรรคเล็กอื่นๆ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังเลือกตั้ง

 

 

          เมื่อเกิด 4 กลุ่มขั้วการเมืองแบบนี้ การแข่งขันย่อมรุนแรงเป็นธรรมดา และภายใต้ 4 ขั้วการเมืองแบบนี้เกิดการสาดโคลนใส่กันเพื่อช่วงชิงอำนาจกันและกัน โดย 3 ขั้วแรกคือ เพื่อไทย ประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ มีการสาดโคลนกันอย่างรุนแรง ในขณะที่ขั้วรอเสียบจะไม่ทำสงครามกับใครเพื่อเป็นพันธมิตรกับทุกฝ่าย ฉะนั้นการเลือกตั้ง ตั้งแต่วันนี้จะมีความเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ


          สิ่งที่น่าสนใจมากกว่ากลุ่ม 4 ขั้วการเมือง คือ 4 สูตรเส้นทางสู่การคว้าเก้าอี้นายกรัฐมนตรีและเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้หลังการเลือกตั้ง

 


          สูตรแรกคือ หากพรรคพลังประชารัฐ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคพลังประชารัฐได้คะแนนเสียงเกิน 100 ที่นั่งขึ้นไป เพราะถ้าเสียงเกิน 100 ที่นั่ง จะไปลดสัดส่วนของพรรคเพื่อไทยที่คาดหวังว่าจะได้ถึง 200 ที่นั่ง และพรรคประชาธิปัตย์ที่คาดว่าจะได้ 150 ที่นั่ง เพราะ 3 พรรคนี้ จะมีเสียง ส.ส.ที่แบ่งกันแล้ว 400 เสียงจาก 500 เสียง ในขณะที่ พรรคพลังประชารัฐได้เกิน 100 ที่นั่ง บวกกับ 250 ส.ว. ที่รัฐธรรมนูญให้อำนาจนายกรัฐมนตรีในการนำเสนอ ก็จะได้ 350 ที่นั่ง และหาพรรคเล็กเพียงพรรคเดียวก็จะโหวตนายกรัฐมนตรีได้ทันที เมื่อได้โหวตนายกฯ จะเอาพรรคประชาธิปัตย์เข้ามาทีหลังก็ย่อมได้

 

 

          สูตรที่สอง ถ้าพรรคพลังประชารัฐได้เสียงต่ำกว่า 100 ที่นั่ง ก็จะทำให้พรรคเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ อาจจะได้เสียงตามเป้าที่วางไว้ เมื่อสองพรรคนี้ได้เสียงตามเป้า นั่นหมายความว่า รวมกันแล้วก็จะได้ 350 ที่นั่ง และรวมพรรคเล็กพรรคเดียวก็ได้เกิน 376 เสียง ไม่ต้องพึ่งเสียง ส.ว. ก็เป็นนายกรัฐมนตรีได้ สูตรนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อพรรคเพื่อไทยยอมให้พรรคประชาธิปัตย์เป็นนายกรัฐมนตรี


          สูตรที่สาม คือ พรรคเพื่อไทยชนะแบบ Land slide (ชนะขาดลอย) แล้วทักษิณ ชินวัตร ดึงพรรคอนาคตใหม่ที่เป็นพรรคพี่พรรคน้อง พรรคเพื่อธรรมและพรรคเพื่อชาติ ที่อาจจะได้ส่วนแบ่งเสียงบางส่วน และพรรคประชาชาติได้เสียงในภาคใต้ขึ้นมา ร่วมกันกับพรรครอเสียบในขั้วที่สี่ เพื่อจัดตั้งรัฐบาลโดยที่คนจากพรรคเพื่อไทย เป็นนายกรัฐมนตรี


          สูตรที่สี่ สูตรนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อการเมืองเกิดภาวะ Dead lock คือทุกพรรคไม่ได้ตามเป้า และไม่มีใครสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ ก็จะเกิดสูตรนายกฯคนนอก ซึ่งสูตรนายกฯ คนนอกนี้ก็จะไปสู่กระบวนการรัฐธรรมนูญที่มีการเสนอต่อรัฐสภา 2 ใน 3 เป็นอย่างน้อยโหวตเห็นชอบให้นำนายกฯ คนนอกเข้ามาได้ แต่ต้องมีการเจรจากัน แม้โหวตได้แล้วก็ต้องเจอทางตันอยู่ดี เพราะว่า ไม่มีใครได้เกิน 376 เสียง เพราะฉะนั้นต้องมีการเจรจากันในภายหลัง หลังจากเกิดทางตันแล้ว
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ