"ทักษิณ" ดิ้น "ประยุทธ์" ชิล มีไพ่หลายใบ

 

                การออกมาของทักษิณล่าสุดในวาระ 12 ปี ที่เขาถูกยึดอำนาจไปเมื่อ 19 กันยายน 2549 สะท้อนความต้องการ 2-3 อย่างของทักษิณ

 

                อย่างแรกแสดงอาการเหมือนต้องการให้เกิดการปรองดอง โดยบอกว่า "เรามีการปฏิวัติ 2 ครั้งใน 12 ปี ปฏิวัตินายกฯที่เป็นพี่น้องกันและได้รับความนิยมสูงสุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย แน่นอนมีคนได้ดีและร่ำรวยจากการปฏิวัติทั้ง 2 ครั้ง แต่คนที่แย่ลงในหลายมิติมีมากกว่า และไม่สำคัญเท่ากับประเทศไทยที่เรารักถูกมองแย่ลงในสายตาคนทั้งโลก

                เราถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะหันหน้ามาปรึกษาหารือกันเพื่อบ้านเมือง หรือว่าเราจะตะแบงฟาดฟันกันฝ่ายเดียว ทั้งๆที่เป็นเพียงแค่ความคิดเห็นที่ต่างกัน ชอบไม่เหมือนกัน บางคนต้องถึงกับชีวิต บางคนเจ็บป่วย บางคนติดคุก บางคนถูกกลั่นแกล้งทางธุรกิจ ทางอาชีพและตำแหน่งหน้าที่ราชการ จนอยากจะตะโกนแรงๆ ว่าเราคนไทยด้วยกันไม่ใช่หรือ"

                แต่ก็ต้องบอกว่าในขณะที่ทักษิณ ทำท่าอยากปรองดอง อีกด้านก็ยังคงมีการใช้ถ้อยคำที่ทำให้เกิดข้อสงสัยในเจตนา

                อีกอย่างน่าจะเป็นเรื่องของการ “บริหารเสน่ห์” และออดอ้อนขอคะแนนสงสาร

                “ในโอกาสครบรอบ 12 ปีนี้ ผมขอเปิดอกว่าผมเสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นกับประเทศไทยเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนั้นผมต้องสูญเสียความสุข ความอบอุ่นในครอบครัวผม ที่พ่อแม่ลูกเราอยู่ด้วยกันอย่างอบอุ่นมาตลอด ต้องมาพรากจากกัน ผมเสียใจที่คนที่รักผม สนับสนุนผมถูกรังแก แต่คงไม่เสียใจเท่าประเทศที่ผมรัก แผ่นดินที่ผมเกิด และเติบโตมา ซึ่งครั้งหนึ่งได้ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ต้องมาตกอยู่ในสภาวะแบบนี้ ถึงแม้ว่าผมมีอายุที่กำลังก้าวเข้าปีที่ 70 แล้ว

                แต่ผมเสียดายประสบการณ์ที่สั่งสมมาทั้งชีวิต โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 12 ปีที่ออกมา ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติและประชาชน ขอขอบคุณพี่น้องประชาชนที่ 12 ปี แล้วยังไม่ลืมผม”

 

(อ่านต่อ..."ทักษิณ" โพสต์ 12 ปี ยึดอำนาจ พ้อ"ประเทศช้ำพอเเล้ว")

 

                มีคนตั้งข้อสังเกตแบบมุมกลับเลยด้วยซ้ำว่า ที่ “ทักษิณ” ออกมา เพราะอยากหาเรื่องให้พรรคเพื่อไทยโดนยุบ แต่ดูแล้วคงไม่ถึงขนาดนั้น

                ส่วน “บิ๊กตู่” วันนี้แสดงให้เห็นถึงการมั่นอกมั่นใจมากขึ้น ลงพื้นที่เก็บคะแนนไปเรื่อยๆ

                ขณะเดียวกัน “บิ๊กตู่” ก็ยังมีไพ่ในมือให้เล่นอีกหลายใบ เรียกได้ว่าในทุกจังหวะก้าว ตั้งแต่ช่วงนี้ไปจนถึงวันเลือกตั้ง และหลังเลือกตั้ง

 

                ไพ่ในมือ ตอนนี้คือเรื่องการยังคงล็อกพรรคการเมือง ยังไม่ให้ขยับได้อย่างอิสระเสรี เรียกว่า ล็อกไม่ให้เพื่อนเดินได้ถนัด ขณะที่รัฐบาล ที่วันนี้ชัดแล้วว่าจะลงสนามแข่งด้วยเดินลุยได้เต็มที่

                ถ้าสถานการณ์ไม่เปลี่ยน “บิ๊กตู่” ก็คงเลือกลงมาอยู่ในบัญชีนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ เพื่อให้การกลับเข้ามาสง่างามขึ้นกว่าเดิม

                แต่ไม่ว่าจะยังไง “บิ๊กตู่" ก็มีหลายทางเลือกหลายทาง และยังมีเวลาให้หายใจอีกพักใหญ่ คือ ยาวไปถึงอย่างน้อยก็ปลายปี

 

(อ่านต่อ...3 ทางรีเทิร์น ของ "บิ๊กตู่")

 

                และต่อให้เลือกทางแรก คือลงมาอยู่ในบัญชีนายกฯของพรรคพลังประชารัฐ ก็ต้องบอกว่า นอกจากกติกาใหม่ที่ดีไซน์ไว้สำหรับการให้ “บิ๊กตู่” กลับมาอีกครั้ง เพื่อไม่ให้การยึดอำนาจเสียของ ก็ยังมีตัวช่วยไว้กันเหนียวอีกมาก

                สำหรับพรรคพลังประชารัฐ กำลังจะการประชุมเปิดตัวกรรมการบริหารพรรคในวันที่ 29 กันยายน นี้ ค่อนข้างชัดเจนว่า “อุตตม สาวนายน” รมว.อุตสาหกรรม และ “สนธิรัตน์ สนธิจิรวงศ์” รมว.พาณิชย์ ซึ่งถูกมองว่า “เป็นคนของ รองนายกฯสมคิด จาตุศรีพิทักษ์” จะมาเป็นหัวหน้าพรรค และเลขาธิการพรรค

 

(อ่านต่อ..."ลุงตู่ - สมคิด - สนธิรัตน์ -อุตตม" โปรดฟังทางนี้ !!)

 

                ส่วนกลุ่มสามมิตร ที่มีข่าวว่าอาจจะแยกวงไปด้วยเหตุผลบางประการนั้น จากการตรวจสอบกับอดีต ส.ส.หลายคนที่กำลังจะเข้ามาอยู่พรรคพลังประชารัฐ ยืนยันตรงกันว่า “ตกลงกันได้หมดแล้ว ทุกอย่างจบแล้ว ไม่มีการแยกพรรค”

                สำหรับ “สุริยะ จึงกิจรุ่งเรือง” และ “สมศักดิ์ เทพสุทิน” คงไม่มาเป็นกรรมการบริหารพรรคแน่นอน จะเป็นแค่ “ผู้ทรงอิทธิพล” ที่ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งอะไรในพรรค

                ถ้าจะมีตำแหน่งก็คงเป็นตำแหน่งรัฐมนตรีไปเลย

                “ไม่มีเหตุผลที่กลุ่มสามมิตรจะแยกตัวออกไป เพราะจุดยืนก็ชัดเจนว่าสนับสนุนพล.อ.ประยุทธ์ หากแยกตัวออกไปก็หาเสียงลำบาก และก็จะมาตัดคะแนนกันเองด้วย” แหล่งข่าวกล่าว

 

(อ่านต่อ...ไทยลีกการเมือง "สามมิตร ยูไนเต็ด" รวมดาวเตะ"จอมพเนจร")

 

                ตอนนี้เป้าหมายของพรรคพลังประชารัฐ คือ เอาชนะพรรคประชาธิปัตย์ ขึ้นมาเป็นพรรคที่มี ส.ส.เป็นอันดับสองให้ได้

                “จริงๆ เราก็อยากได้ ส.ส.ให้ถึงร้อยคน แต่ดู ณ เวลานี้ ต้องยอมรับว่ายาก เพราะเรายังไม่ได้ตัวผู้สมัครที่ถือว่าเป็นตัวเด็ดๆมาเลย ตอนนี้ผู้สมัครตัวเด็ดๆยังอยู่กับพรรคเพื่อไทยเป็นหลัก” แกนนำอดีต ส.ส.ที่ย้ายมาอยู่พรรคพลังประชารัฐกล่าว

                แต่ก็มั่นใจว่าพรรคพลังประชารัฐจะสามารถมาเป็นพรรคอันดับสองได้ “ตอนนี้เราได้ผู้สมัครที่ส่วนใหญ่เป็นอดีต ส.ส. และเป็นผู้สมัครที่ได้คะแนนอันดับสอง อันดับสาม มาเป็นจำนวนมาก แม้ไม่ชนะ ส.ส.เขต แต่ทุกคะแนนของพวกเขาสามารถเปลี่ยนมาเป็นคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้”

                จากสถิติที่ผ่านมา ในการเลือกตั้งแบบเขตเล็ก คือ เขตเดียวเบอร์เดียว ผู้ชนะการเลือกตั้งจะได้คะแนนประมาณ 4-5 หมื่น แต่ถ้าเขตไหนการแข่งขันสูงก็จะได้ไม่ถึงนั้น ขณะที่ในการเลือกตั้งครั้งนี้ที่ใช้กติกาแบบ “จัดสรรปันส่วนผสม” คือ บัตรเลือกตั้งใบเดียว แต่มี ส.ส. 2 ระบบ โดยจะนำคะแนนรวมของพรรคทั่วประเทศมาคิดเป็นจำนวน ส.ส. ซึ่งวิเคราะห์กันว่าสัดส่วนคะแนนที่นับรวมจากทั่วประเทศต่อ ส.ส. 1 คน จะอยู่ที่ประมาณ 7 หมื่นคะแนน ฉะนั้นพรรคที่ได้ ส.ส.เขตไปมากแล้วอย่างพรรคเพื่อไทยจะไม่มีโอกาสได้ ส.ส.บัญชีรายชื่อเพิ่มอีกเลย

                พรรคเพื่อไทยเสียเปรียบแน่นอน

                แต่ถ้าถึงวันที่จะลงสนามแข่งจริงๆ หากเห็นว่า “เอา(พรรคเพื่อไทย)ไม่อยู่” ไพ่ “ยุบพรรค” ก็ยังเป็นอีกใบที่หยิบฉวยมาใช้ได้

                แม้ในทางปฏิบัติคงเป็นเรื่องของ กกต. แต่หากเกิดขึ้นจริง ก็คงอดมองไม่ได้

                และถ้าจะยุบให้ได้ผลมากที่สุด ก็ต้องยุบแบบที่ทำให้คนพรรคเพื่อไทยไม่สามารถลงสมัคร ส.ส.พรรคอื่นได้

                ถึงแม้จะมีการเตรียมตั้งพรรค “เพื่อธรรม” ไว้แล้ว แต่หากยุบพรรคแล้วไม่สามารถไปสังกัดพรรคใหม่ได้ครบ 90 วันถึงวันเลือกตั้ง ก็ลงสมัคร ส.ส.ไม่ได้

                หรือถ้าปล่อยให้มีการเลือกตั้งไปก่อน “ม.44” ที่ยังอยู่ในมือ “บิ๊กตู่” ไปจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ ก็เป็น “ไพ่” ทรงอานุภาพ ที่จะหยิบมาใช้เมื่อไหร่ก็ได้

                เชื่อเถอะ...หวยไม่ออกทางอื่นหรอก !!

(อ่านต่อ... เปิด !! บันได 4 ขั้น สู่การเลือกตั้ง)

 

===============

คอลัมน์ขยายปมร้อน โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์