'กรุงเทพฯแชมป์โลกรถติด'!!ตั้งศูนย์บูรณาการแก้จะรุ่งหรือล่ม?

 

          ตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมาหลายรัฐบาลพยายามแก้ปัญหารถติดในกรุงเทพฯ มาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะปัจจุบันรัฐบาล คสช. ได้พยายามผลักดันให้การแก้ไขปัญหาทั้งในกรุงเทพฯ และในเมืองใหญ่เป็นวาระแห่งชาติ แต่จนแล้วจนรอดปัญหาที่ว่าก็ยังแก้ไม่ตก จนกลายเป็นเรื่อง “ชินชา” กับปัญหารถติดแบบ “สาหัสสากรรจ์” ที่สัมผัสได้ด้วยตนเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน 

          จากตัวเลขสถิติเมื่อปี 2560 เว็บไซต์ซีเอ็นเอ็น เผยรายงานของ บริษัท ทอมทอม ผู้ผลิตอุปกรณ์จีพีเอสชื่อดัง จัดอันดับเมืองที่มีการจราจรติดขัดมากที่สุดในโลก ปรากฏว่า กรุงเทพฯ เมืองฟ้าอมรเป็น “แชมป์โลก” เพราะขึ้นอันดับหนึ่งเมืองรถติดหนึบที่สุด จากผลสำรวจเมืองใหญ่ๆ 390 เมืองใน 48 ประเทศ ขณะเดียวกันยังมีผลการสำรวจเมื่อปีที่ผ่านมา พบมีรถยนต์ที่จดทะเบียนในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวน 9 ล้านคัน แต่มีถนนรองรับได้เพียง 1.5 ล้านคัน ซึ่งปัญหารถติดทำให้สูญเสียเชื้อเพลิงไปวันละ 97 ล้านบาท หรือปีละ 35,000 ล้านบาท

          สาเหตุที่ทำให้เกิดปัญหาจราจรในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีข้อสรุปเอาไว้อย่างหลากหลาย ทั้งในเชิงสถิติ การสำรวจที่อ้างอิงได้ รวมทั้งความเห็นจากทุกฝ่าย อาทิ 1.ปริมาณรถมาก ไม่สัมพันธ์กับจำนวนถนน จึงเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ถนนบางสายติดขัด และติดขัดหนักมาก โดยเฉพาะช่วงเทศกาล และเมืองใหญ่ๆ 2.ฝนตก น้ำท่วมขัง เพราะฝนตกทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลง แถมยังมีน้ำท่วมขัง คนขับจึงต้องชะลอความเร็วเพื่อป้องกันอันตรายหรืออุบัติเหตุในการขับขี่ 3.รถเสียกลางถนน รถเสียริมทาง ที่เด็ดสุดคือ รถเสียก่อนขึ้นสะพาน สิ่งนี้จะส่งผลถึงขั้นจราจรวิกฤติในช่วงเวลาเร่งด่วน 4.จอดรถริมถนน จอดซ้อนคัน จอดในที่ห้ามจอด เพื่อลงไปทำธุระ หรืออื่นๆ ซึ่งส่วนใหญ่บอกแค่ชั่วครู่ชั่วคราว แต่ก็ส่งผลให้การจราจรชะลอตัวและติดขัดตามมา 5.งานก่อสร้างทั้งหลายทั้งปวง โดยเฉพาะ โครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ รวมถึงวัสดุอุปกรณ์ก่อสร้างที่วางริมถนนแบบไม่เกรงผู้ร่วมทาง

 

          6.การซ่อมแซมถนนที่ไม่ได้คุณภาพ ลาดผิวถนนไม่สม่ำเสมอ เกิดหลุมบ่อ จึงเป็นปัจจัยให้รถชะลอตัวแล้วติดสะสม 7.อุบัติเหตุต่างๆ การช่วยเหลือแต่ละครั้ง มักส่งผลทำให้รถชะลอตัวและติดขัด รวมถึงบรรดาไทยมุงชะลอตัวเพื่อขอดูเหตุการณ์ 8.ป้ายบอกทางไม่ชัดเจน หลายคนเคยประสบปัญหาเหล่านี้ คนขับรถชะลอตัว เพราะพะวงกับการมองป้าย 9.รถโดยสารสาธารณะทั้งหลายที่จอดไม่เข้าป้าย อันนี้จะเห็นอยู่ทุกป้ายทั่วกรุงและปริมณฑล โดยเฉพาะหน้าห้างสรรพสินค้า และจุดขึ้นลงรถไฟฟ้า 10.คนขับส่วนใหญ่ไม่มีวินัยจราจร เบียดซ้าย ปาดขวา เปิดเลนเอง ฯลฯ สิ่งเหล่านี้ล้วนส่งผลกระทบต่อการจราจรทั้งสิ้น

          ด้วยเหตุนี้การขับเคลื่อนแก้ไขปัญหาการจราจรตามนโยบายของรัฐบาล ซึ่ง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ ได้สั่งการให้ทุกหน่วยงานบูรณาการทำงานร่วมกัน ก่อนที่ประชุมจะมีข้อสรุปตั้งเป็น “ศูนย์ควบคุมสั่งการและแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” เพื่อลดขั้นตอนการปฏิบัติงาน จากเดิมที่มีการแยกการแก้ไขปัญหาของแต่ละหน่วยงาน เกิดปัญหาการประสานงานการระบายรถ โดยเฉพาะในช่วงเวลาเร่งด่วน

 

 

          สำหรับศูนย์ควบคุมสั่งการฯ ดังกล่าว มี พล.ต.ท.ณัฐธร เพราะสุนทร ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ(ผู้ช่วย ผบ.ตร.) เป็นหัวหน้าศูนย์ และถึงแม้ศูนย์แห่งนี้จะมีหลายหน่วยงาน แต่จะไม่มีปัญหาในการสั่งการอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมาหน่วยงานต่างๆ ก็ได้ทำงานร่วมกัน มีความตั้งใจแก้ไขปัญหาร่วมกัน อย่างไรก็ตาม การทำงานของศูนย์ควบคุมสั่งการฯ นอกจากหน่วยงานต่างๆ แล้ว จะบูรณาการโดยใช้กล้องวงจรปิดทั้งหมด 2,918 ตัว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล โดยเป็นกล้องของ กทม., การทางพิเศษแห่งประเทศไทย หรือกรมทางหลวง ฯลฯ มาช่วยควบคุมดูแลการจราจร

          พล.ต.ต.จิรพัฒน์ ภูมิจิตร รอง ผบช.น. อธิบายว่า การตั้งศูนย์ควบคุมสั่งการและแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ตั้งอยู่ที่ศูนย์ควบคุมและสั่งการจราจร (บก.02) เป็นการเพิ่มวิธีแก้ไขปัญหาการจราจร เป็นการบูรณาการขับเคลื่อนอย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว ครอบคลุมพื้นที่กรุงเทพฯ และช่วงรอยต่อปริมณฑลให้เป็นไปในแนวทางเดียวกัน มีตำรวจในสังกัด บก.น.1-9 และ บก.จร. รวมทั้งพื้นที่ปริมณฑล อาทิ ตำรวจ ภ.จว.ปทุมธานี, ภ.จว.นนทบุรี, ภ.จว.สมุทรปราการ, ภ.จว.สมุทรสาคร นอกจากนี้ยังให้มีหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย เทศกิจ สำนักการระบายน้ำ องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ การทางพิเศษแห่งประเทศไทย กรมการขนส่งทางบก และ กรมประชาสัมพันธ์ มาร่วมปฏิบัติงานด้วย

 

 

          “ที่ผ่านมาปัญหาการจราจรมีหลายรูปแบบ ตำรวจจึงมีการประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาร่วมมือกันแก้ปัญหาให้รวดเร็ว และเกิดประโยชน์สูงสุด เช่น หากเกิดฝนน้ำท่วมขัง ตัวแทนของสำนักการระบายน้ำที่มานั่งอยู่ที่ บก.02 นี้ จะเร่งประสานเจ้าหน้าที่ในพื้นที่เข้าไปแก้ไขได้อย่างทันท่วงที ไม่ต้องรอการประสาน เป็นการลดขั้นตอนเพื่อความรวดเร็ว ที่ศูนย์จะมอนิเตอร์สภาพการจราจรในกรุงเทพฯ และปริมณฑลผ่านกล้องวงจรปิดที่เชื่อมสัญญาณ ทันทีที่พบปัญหาจะสั่งการให้พื้นที่นั้นๆเร่งดำเนินการทันที โดยมีหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดมานั่งที่ศูนย์สั่งการนี้” พล.ต.ต.จิรพัฒน์ อธิบาย

          ทั้งนี้ จะเริ่มดำเนินการวางแผนจัดการจราจรใน 3 เส้นทางหลัก ประกอบด้วยถนนสามเสน ถนนสาทร และถนนสุขุมวิท-เพชรบุรี เนื่องจากทั้งสามเส้นนี้มีปัญหาการจราจรมากสุด เพราะมีสถานศึกษาจำนวนมาก ทำให้การจราจรติดขัด โดยจะมีการประเมินทุกสัปดาห์ และลงพื้นที่ตรวจสอบเส้นทางก่อสร้าง โดยให้ กทม.สำรวจ เพื่อคืนผิวจราจรให้แก่ประชาชน เนื่องจากพบว่ามีการกั้นพื้นที่เกินความจำเป็น ส่วนมาตรการรับมือหน้าฝนจะประสานกับสำนักงานระบายน้ำล่วงหน้าว่า จุดไหนมีปัญหาจะได้เตรียมพร่องน้ำไว้ก่อนเพื่อรองรับน้ำ หากมีปัญหาน้ำท่วมขังจะได้ระบายได้ทันท่วงที

 

 

          ด้าน พล.ต.ต.เอกรักษ์ ลิ้มสังกาศ ผบก.ส.3 ในฐานะคณะทำงานแก้ปัญหาจราจร อธิบายเสริมว่า มีการเสนอแก้ไขกฎหมาย พ.ร.บ.การจราจรทางบกฯ เพื่อช่วยส่งเสริมวินัยจราจร โดยจะนำวิธีการตัดคะแนนความประพฤติ ซึ่งส่งผลต่อการต่อใบขับขี่ และข้อมูลดังกล่าวจะลิงค์กับกรมการขนส่งทางบก เบื้องต้นกฎหมายดังกล่าวผ่านที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) แล้ว โดยในวันที่ 7 มิถุนายน จะมีการทำประชาพิจารณ์ เพื่อประกาศใช้ต่อไป โดยเชื่อว่าจะแก้ไขปัญหาได้

          สภาพการจราจรที่วิกฤติอยู่ในขณะนี้ มีความสลับซับซ้อนทั้งในตัวของมันเอง และที่ไปผูกโยงอยู่กับหน่วยงานต่างๆ แทบนับไม่ถ้วน ถ้าแต่ละหน่วยงานต่างคนต่างทำ หรือบางหน่วย “เกียร์ว่าง” ขาด "กรรมการกลาง” คอยสั่งการ ท้ายที่สุดผู้ที่ตกเป็นจำเลยของสังคมก็ไม่พ้นตำรวจกับ กทม. การตั้งศูนย์แก้รถติดโดยให้ทุกหน่วยงานได้บูรณาการแก้ปัญหาแบบสอดประสานตลอด 24 ชั่วโมง ถือเป็นแนวทางที่ดี 
ต้องติดตามกันต่อไปว่า “ศูนย์ควบคุมสั่งการและแก้ไขปัญหาการจราจรในเขตกรุงเทพมหานครและปริมณฑล” จะคลี่คลายปัญหาจราจรที่ “คาราคาซัง” มานานได้หรือไม่ จะรุ่ง ลุล่วง ลดอันดับแชมป์โลกรถติดของเมืองกรุง หรือ ล่ม ล้มไม่เป็นท่า ซ้ำรอยความพยายามที่ผ่านมา..!!