คอลัมนิสต์

ยอดขายกล้องหน้ารถ พุ่ง!! หลังเหตุการณ์"วิศวะยิงโจ๋ดับ"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

ยอดขายกล้องหน้ารถเพิ่มสูงขึ้นถึง 20% เพราะสามารถสะท้อนถึงความจริง เมื่อเกิดเหตุขึ้นบนท้องถนน ได้ดีกว่า " ปาก" เล่า

 

            หากยังจำช่วงแรกๆที่เกิดเหตุการณ์ “หนุ่มใหญ่วิศวกร” ก่อเหตุยิงเด็กวัยรุ่น 17 ปี เสียชีวิต ขณะนั้นสังคมยังถกเถียงว่าหนุ่มใหญ่วัย 50 ทำเกินกว่าเหตุหรือไม่ แม้กระทั่งสำนักข่าวใหญ่ยังพาดหัวเหตุการณ์เดียวกันแต่ต่างมุมมอง โดยกลุ่มวัยรุ่นบอกว่าจะเข้าไปเจรจาแต่ “หนุ่มใหญ่” เลือดร้อน ส่วนวิศกรก็บอกว่าทางกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาทำร้ายครอบครัวของตนจนต้องป้องกันตัวเอง และเมื่อหลักฐานจากกล้องหน้ารถของวิศวกรถูกนำมาเผยแพร่บนโลกออนไลน์ กลายเป็นว่าเสียงของคนที่เคยเห็นต่างกัน กลับเริ่มเห็นความจริงตรงกันว่าเหตุการณ์เป็นอย่างไร

             เหตุการณ์ดังกล่าวได้สะท้อนถึงความจำเป็นของกล้องหน้ารถ ที่มีเพื่อบันทึกเหตุการณ์บนท้องถนน ซึ่งสามารถนำใช้เป็นหลักฐานอธิบายเรื่องราวได้ดีกว่าคำพูดของแต่ละฝ่าย

              และจากการลงพื้นที่สำรวจย่านถนนวรจักร แหล่งขายอุปกรณ์ประดับยนต์อันดับต้นๆของกรุงเทพฯ เพื่อสอบถามถึงสถาณการณ์ของยอดขายกล้องว่าเป็นอย่างไรบ้าง  พบว่า ตัวกล้องติดหน้ารถมีราคาตั้งแต่ “หลักร้อย” จนถึง“หลักพัน”

             “ผมว่าตอนนี้ยอดขายก็ดีขึ้น ความจริงกล้องหน้ารถเริ่มได้ความนิยมเมื่อประมาณ 7-8 เดือนที่แล้วที่คนเริ่มตื่นตัว และเมื่อมีข่าวเหตุการณ์ดังกล่าวขึ้นมาคนก็เริ่มกลับมาสนใจในกล้องหน้ารถอีกครั้ง ก็ขายเพิ่มได้จากแต่ก่อนถึง 20%” นายณรงค์ เจียมประเสริฐกุล เจ้าของร้านประดับยนต์ Autoway วัย 68 ปี เริ่มกล่าวถึงสถานการณ์ยอดขายกล้องหน้ารถ หลังเกิดเหตุสะเทือนขวัญ

ยอดขายกล้องหน้ารถ พุ่ง!! หลังเหตุการณ์"วิศวะยิงโจ๋ดับ"

                                                     ณรงค์ เจียมประเสริฐกุล          

         เขายังเล่าต่อไปว่า กล้องที่ขายดีจะเป็นตัวที่มีราคาถูก ราคาประมาณ หนึ่งพันกว่าบาท แต่ที่จริงก็มีที่ราคาสูงกว่านี้ แต่ลูกค้าส่วนใหญ่นิยมราคากลางๆ ซึ่งต่างกันที่ความคมชัดของไฟล์วีดีโอที่บันทึก โดยการทำงานของกล้องหน้ารถสมัยนี้ทุกตัว จะเป็นระบบเซฟไฟล์แบบงูกินหาง คือ ถ้าเต็มพื้นที่ความจุของเม็มโมรีการ์ด ที่อยู่ในกล้องแล้ว ตัวระบบก็จะทำการลบไฟล์เก่าที่ไม่ได้ใช้ แล้วบันทึกต่อใหม่ทันที ทั้งนี้กล้องติดหน้ารถจะมีอยู่สองประเภทด้วยกัน ก็คือ ติดหน้ารถกับหลังป้ายทะเบียน กับติดหน้ารถอย่างเดียว โดยส่วนใหญ่ลูกค้าจะนิยมซื้อแบบหลังมากกว่า เพราะติดตั้งเองได้ง่าย ใช้ไฟจากแบตเตอรี่รถยนต์ สามารถต่อกับที่จุดบุหรี่ได้ ส่วนแบบแรกที่ต้องติดหลังรถนั้น จะมีความยุ่งยากเรื่องการเดินสายไฟภายในรถ ต้องให้ช่างเดินสายไฟให้ แต่ถ้ามีความชำนาญก็ติดตั้งเองได้

           “ผมว่ากล้องหน้ารถก็เป็นส่วนหนึ่งของการใช้งานรถ ที่สามารถช่วยลดปัญหาข้อพิพาท ยามเกิดอุบัติเหตุลงได้เยอะ บางครั้งพอเกิดเหตุขึ้น ก็มีการถกเถียงต่างๆนาๆ แต่พอให้ดูไฟล์ภาพวีดีโอที่ใช้เป็นหลักฐาน ทุกอย่างก็จบเรื่องเพราะมีความชัดเจน ไม่ต้องคุยอะไรมากอีก”นายณรงค์ กล่าวทิ้งท้าย

           มาถึงอีกมุมหนึ่งของถนนวรจักร น.ส.อริสา กุลวิทยา เจ้าของร้านประดับยนต์ KV Accessories เล่าถึงยอดขายกล้องหน้ารถในช่วงนี้ว่า ความจริงยอดขายกล้องหน้ารถก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะตก แม้สภาวะเศรษฐกิจจะซบเซาก็ตาม ซึ่งก็ต้องยอมรับว่ามีคนถามหาสินค้าตัวนี้เพิ่มขึ้นหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว สำหรับเราแล้วตัวกล้องหน้ารถ ขายดีกว่าประดับยนต์ตัวอื่นๆอีก

ยอดขายกล้องหน้ารถ พุ่ง!! หลังเหตุการณ์"วิศวะยิงโจ๋ดับ"

                                                          น.ส.อริสา กุลวิทยา          

        ในส่วนความจำเป็นของการติดกล้องหน้ารถ ลูกค้าทุกคนมองว่าจำเป็นและส่วนตัวเห็นเป็นเช่นนั้น เพราะอย่างน้อยๆก็เป็นการบันทึกเรื่องราวความประทับใจระหว่างการเดินทาง หรือว่าบางครั้งอาจเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งอาจมีการถกเถียงหาคนผิด ถ้าเรามีไฟล์วีดีโอจากกล้อง ก็จะทำให้แต่ละฝ่ายพูดถึงความเป็นจริงมากขึ้นก็ได้ อีกทั้งยังเป็นการช่วยรักษาตัวเราจากเหตุการณ์มิจฉาชีพต่างๆด้วย

         ส่วนใหญ่ที่ขายดีจะเป็นกล้องติดหน้ารถอย่างเดียว แม้ว่าเราจะมีกล้องราคาถูกประมาณ 300 กว่าบาท ซึ่งก็บันทึกภาพได้เท่าที่เห็น ปรับแสงไม่ได้ แต่ส่วนใหญ่ลูกค้าก็จะเลือกกล้องราคาประมาณ 1,000 - 1,500 บาท ซึ่งเป็นตัวที่ใช้งานได้จริง และมีจอแสดงผลดูได้ทั้งกลางวันและกลางคืน แต่ก็ไม่ได้บันทึกภาพความละเอียดสูงมากเท่ากับตัวที่มีราคา 2,000 กว่าบาท แต่ก็ยังถือว่าอยู่ในเกณฑ์ที่ใช้ได้ดีเลยทีเดียว

          คุยไปสักพัก ก็มีพนักงานร้าน KV Accessories ให้เกร็ดความรู้เสริมด้วยว่า เป็นที่รู้กันดีว่า กล้องสมัยนี้มีลักษณะการบันทึกไฟล์วีดีโอแบบงูกินหาง คือมีระบบลบไฟล์วีดีโอที่ไม่ได้ใช้เอง ซึ่งความยาวในการบันทึกจะขึ้นอยู่กับปัจจัยสองอย่างคือ ความคมชัดของวีดีโอ กับความจุของเม็มโมรี่การ์ด ยกตัวอย่างเช่น กล้องคุณภาพกลางๆ อาจจะบันทึกวิดีโอได้ 4 ชม. ในความจุเม็มโมรีการ์ด 32 GB แต่ถ้าเป็นกล้องคุณภาพสูง ก็จะบันทึกได้เพียง 2 ชม. ในความจุเท่ากัน ทั้งนี้ทางเราก็จะแนะนำลูกค้าให้ตั้งค่า การอัดวีดีโอแบ่งเป็นไฟล์ละ 3 - 5 นาที ซึ่งมีข้อดีก็คือว่า ถ้าไฟล์ไหนมีปัญหา ก็ยังดูไฟล์ที่มีระยะเวลาใกล้เคียงกับไฟล์ที่เสียได้อยู่ แต่ถ้าบันทึกยาวๆ เวลาเกิดปัญหา ก็จะไม่มีหลักฐานอะไรให้ดูเลย ส่งผลให้กล้องขายดีในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ลักษณะแบบนี้

          เมื่อถามถึงความจำเป็นจะต้องติดทั้งหน้าและหลังรถเลยหรือไม่ พนักงานร้าน KV Accessories ระบุว่า จริงๆแล้วการติดกล้องหลังจะมีข้อดีก็คือว่า จะใช้เป็นกล้องถอยรถไปในตัวด้วย แต่ก็ต้องแลกกับความยุ่งยากในการเดินสายไฟกล้องหลัง ส่งผลให้กล้องหน้าขายดี เพราะติดตั้งง่าย

         ด้านนายทนงค์ อัศวแสงกุล เจ้าของร้าน A1 ประดับยนต์ พูดถึงแนวโน้มการขายกล้องหน้ารถในอนาคตว่า อย่างไรก็ยังคงขายได้เรื่อยๆ ส่วนที่มีการตื่นตัวก็เป็นกระแสจากข่าว ก็คงไม่ได้อยู่นานเท่าไหร่ แต่ก็ต้องยอมรับว่าหลังเกิดข่าวก็ขายกล้องหน้ารถดีขึ้นประมาณ 20% ทั้งนี้ตนขอแนะนำว่าหลังจากซื้อกล้องแล้วหา เม็มโมรีการ์ด 16 GB มาใส่ก็เพียงพอแล้ว อาจจะไม่จำเป็นต้องเยอะมากก็ได้

ยอดขายกล้องหน้ารถ พุ่ง!! หลังเหตุการณ์"วิศวะยิงโจ๋ดับ"

                                                            ทนงค์ อัศวแสงกุล           

       “แต่ก่อนคนมองว่า ยังไม่ค่อยมีความจำเป็นที่ต้องติดกล้องหน้ารถ แต่เมื่อเวลาผ่านไปกล้องหน้ารถก็เริ่มมีบทบาทในการคลี่คลายปัญหาต่างๆ สามารถใช้เป็นหลักฐานยามเกิดข้อพิพาทได้ อย่างน้อยๆก็ให้ความยุติธรรมกับตัวเจ้าของรถเองได้ ส่วนจะแนะนำลูกค้าว่าให้ซื้อกล้องอย่างไรนั้นเราจะดูที่ความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก และงบกำลังทรัพย์ที่เขาตั้งไว้” เจ้าของร้าน A1 กล่าวทิ้งท้าย

           นาทีนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า กล้องหน้ารถ ถือว่ามีความสำคัญมาก ในการเป็นพยานหลักฐานที่สำคัญยามเกิดเหตุไม่คาดฝัน และเมื่อยิ่งเกิดกระแสข่าวต่างๆที่ผ่านมา เชื่อได้เลยว่าผู้ใช้รถที่ยังไม่ติดกล้อง คงเริ่มมีแผนที่จะหาซื้อมาติดอย่างแน่นอน

          แต่ในอีกแง่มุมหนึ่ง การที่ผู้คนมุ่งติดกล้องหน้ารถกัน เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความหวาดระแวง ไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในสังคม ซึ่งก็เป็นความกดดันอย่างหนึ่งในยุคปัจจุบัน สังคมไทยแบบพี่น้องๆ ที่อะลุ่มอล่วยกัน ได้จางหายไปแล้ว 

ยอดขายกล้องหน้ารถ พุ่ง!! หลังเหตุการณ์"วิศวะยิงโจ๋ดับ"

        มุมมอง นัก กม.

       นายเจษฎา อนุจารี นัก กม.ชื่อดัง ให้มุมมองในเรื่อง“กล้องติดรถยนต์” ว่า บันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากกล้องระหว่างที่มีการขับรถไป สามารถใช้เป็นพยานหลักฐานในกระบวนการยุติธรรมชิ้นหนึ่งได้ ดีกว่าใช้“ปาก”เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งนี้ภาพบันทึกเหตุการณ์ที่ได้จากกล้องติดรถยนต์ มีสถานะและน้ำหนักเท่ากับ“พยานบอกเล่า” แต่ต้องมีคนมาอธิบายประกอบภาพด้วย เช่น คนที่เป็นเจ้าของรถหรือคนบันทึกภาพว่า บันทึกอย่างไร เมื่อไหร่ เพราะภาพที่เห็นบางครั้งไม่เป็นความจริงก็มี เพราะมีการตัดต่อ ทำเสียง

        “ แต่ก็ยอมรับว่ามีข้อดี ภาพบันทึกเหตุการณ์ใช้เป็นพยานหลักฐานในทางคดีได้ แต่ก็ต้องพิจารณาพยานหลักฐานอื่นๆประกอบด้วย ภาพจากกล้องทำให้ติดตามคนร้ายได้ง่ายขึ้น ใช้โต้แย้งกับเจ้าหน้าที่ตำรวจได้เวลาจะตั้งข้อหา ทำให้ความจริงกระจ่างระดับหนึ่ง แต่ก็มีข้อเสีย คือ อาจเกิดกรณีที่ไปละเมิดสิทธิส่วนบุคคลของคนอื่นได้ เช่น ภาพไปติดในเรื่องส่วนตัวของบุคคลอื่นที่เขาไม่อยากให้เห็น หรือกรณีมีการนำภาพที่บันทึกได้ไปทำการตัดต่อแล้วลงโซเชียลฯ คนเห็นก็วิจารณ์ หรือ วินิจฉัยไปแล้วตามที่เห็น เป็น”ศาลเตี้ย“ หรือแม้ว่าภาพที่บันทึกนั้น ไม่มีการตัดต่อ พอนำมาลงโซเชียลฯ คนเห็นภาพก็ตัดสินไปแล้ว เป็นการฟังความข้างเดียว ทั้งที่คนที่ถูกพาดพิงถึง ยังไม่ได้ชี้แจง ยังไม่มีการรับฟังข้อเท็จจริงให้ครบถ้วน ”

         นอกจากนี้นายเจษฎา ยังมองว่า การที่คนมุ่งในการติดกล้องที่รถยนต์ เป็นการสะท้อนให้เห็นถึงความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกันของคนในสังคม

******

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ