เป็นข่าวที่ช็อกความรู้สึกของผู้คนเป็นอย่างมากในกลางปี 2542 แต่สุดท้ายศาลฎีกายกฟ้อง ความจริงปรากฏ
ย้อนหลังไปเมื่อกลางปี 2542 ข่าวพาดหัวตัวไม้บนหน้าหนึ่งหนังสือพิมพ์ บอกเล่าเรื่องราวที่ช็อกความรู้สึกของผู้อ่านเป็นอย่างมาก
ยิ่งเมื่อได้อ่านในเนื้อหาของข่าวเดียวกันนี้ สิ่งที่ตามมาของผู้อ่านก็คือความฉงน สงสัย อยู่ระหว่างกึ่งกลางว่าจะ “เชื่อ”หรือ”ไม่เชื่อ- “ จริง-ไม่จริง”
พร้อมกับคำถามว่า เป็นไปได้หรือ..ที่คนในวิชาชีพซึ่งผู้คนให้ความยอมรับนับถือ วิชาชีพที่เป็นที่พึ่งหวังของชาวบ้านในการให้การรักษาอาการเจ็บไข้ได้ป่วย คนที่เรียกกันว่า "คุณหมอ" จะมีพฤติกรรมอย่างที่ข่าวนำเสนอ
เรื่องของเรื่อง..มาจากการร้องเรียนผ่านสื่อของชาวบ้าน อ.คลองหาด จ.สระแก้ว ที่ สงสัยว่าบุตรสาวจะถูกขโมยไต เพราะหลังจากเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลชื่อดังแห่งหนึ่งใน จ.สมุทรปราการ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุ รถจักรยานยนต์เฉี่ยวชน เสียชีวิตหลังการผ่าตัด
โดยอ้างว่ามีเงื่อนปมพิรุธก่อนการเสียชีวิตและหลังเสียชีวิตในหลายประเด็น ทั้งกรณีที่โรงพยาบาลปฏิเสธไม่ให้ญาติ ย้ายผู้ป่วยไปที่โรงพยาบาลอื่น การเร่งรีบนำเอกสารมาให้ญาติของผู้ป่วยเซ็น และสุดท้ายเมื่อผู้ป่วยเสียชีวิต มีการแจ้งให้ญาติไปรอรับศพผู้ตายที่วัดพบว่าศพถูกผ่าตั้งแต่หน้าอกจนถึงหัวเหน่า
และที่สำคัญคือ ข้อสงสัยเกี่ยวกับกรณีที่โรงพยาบาลนำเงินสดจำนวน 1 แสนบาท มามอบให้ญาติผู้ตาย โดยที่ไม่เรียกเก็บค่ารักษาพยาบาลแม้แต่บาทเดียว
ประกอบกับตอนนั้น มีรายงานบทสัมภาษณ์ของแหล่งข่าวที่เป็นนายแพทย์ในโรงพยาบาลเดียวกันซึ่งสงสัยในพฤติกรรมของหมอบางกลุ่มในโรงพยาบาลมาก่อน โดยแหล่งข่าวรายนี้ให้ข้อมูลว่า จะมีผู้ป่วยที่มีฐานะดีมารอรับการรักษาผ่าตัดไตและรอรับบริจาคไตที่โรงพยาบาลเป็นจำนวนมาก
ขณะที่ในการรับผู้ป่วยอาการสาหัสเข้ามารักษา ซึ่งเกือบทุกรายจะไม่แจ้งให้แพทย์ที่เข้าเวรประจำทราบ เพื่อเป็นเจ้าของไข้
แต่จะแจ้งให้แพทย์ที่อยู่ในข่ายสงสัยรับทราบแทน และหลังจากให้การรักษา จะมีการให้น้ำเกลือหรือกระทำการในลักษณะหนึ่งเพื่อให้สมองตาย จากนั้นจะนำเข้าห้องผ่าตัดด่วน เพื่อให้ญาติเซ็นเอกสารยินยอม ท้ายที่สุดผู้ป่วยเหล่านั้นก็จะเสียชีวิต
ตอนนั้นจึงมีการร่ำลือกันว่า อาจมีการผ่าตัดขโมยไตคนไข้ออกไปก่อนตาย !!
อย่างไรก็ตาม “ข่าว” ก็เป็นเพียง”ข่าว”
เมื่อสุดท้ายทั้ง 3 ศาล คือ ศาลชั้นต้น, ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา ได้มีคำพิพากษาไปในทำนองเดียวกัน คือ ยกฟ้อง จำเลย
โดยคำพิพากษาของศาลระบุว่า การที่จำเลย ร่วมกันผ่าตัดเอาไตออกจากผู้ตายที่อยู่ในสภาวะสมองตายตามการวินิจฉัยของแพทย์ ตามหลักเกณฑ์ของแพทยสภา ถือเป็นการกระทำต่อคนตายแล้ว จึงไม่อาจเป็นการฆ่าได้อีก จำเลยจึงไม่มีความผิดฐานร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยเจตนา
ร่วม 20 ปี ความจริงถึงปรากฏ แต่ก็คุ้มค่าสำหรับการรอคอยของจำเลย ที่ได้พิสูจน์ว่าตนเองบริสุทธิ์
ข่าวที่เกี่ยวข้อง