'วิกฤตโควิด-19' ทำให้รัฐบาลต้องตกอยู่ใน 'ภาวะวิกฤต'ตามไปด้วย เพราะมีหลายเรื่องที่แสดงให้เห็นถึงความล้มเหลวของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา 'โควิด-19' ทั้งเรื่อง หน้ากากอนามัย-ผีน้อย-ขาดมาตรการเชิงรุกเอาแต่ตั้งรับ-ล่าช้ากว่าสถานการณ์
"วิกฤตโควิด-19" ทำให้รัฐบาลต้องตกอยู่ใน "ภาวะวิกฤต"ตามไปด้วย แม้ว่าจะเพิ่งสอบผ่านอภิปรายไม่ไว้วางใจไปอย่างง่ายดาย แต่แทบไม่มีความหมายเมื่อมาเจอกับ "โควิด-19" ที่ไม่เพียง เป็นแค่'เชื้อโรค'ที่คุกคามมนุษย์โลก รวมทั้งคนไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลฉุดรั้งให้เศรษฐกิจที่แย่อยู่แล้ว ทรุดหนักลงไปอีก ห้างสรรพสินค้า ร้านอาหาร แทบร้าง เช่นเดียวกับถนนหนทางแทบโล่งรถเบาบางไปเยอะมาก อาจเป็นเพราะพิษภัยจาก' โควิด- 19' และภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่
ที่ผ่านมาการควบคุมการระบาดของ 'โควิด -19' ยังทำได้ดีในระดับหนึ่ง มีผู้เสียชีวิต 1 คน และอาการหนักอีก 1คน ด้วยการทำหน้าที่อย่างดีของบุคลากรในกระทรวงสาธารณสุข แต่ไม่ใช่ฝีมือของ"รัฐบาล" อย่างแท้จริง
แต่ล่าสุด( 12 มี.ค. 63 )สถานการณ์ไม่ค่อยสู้ดีนัก เมื่อพบผู้ติดเชื้อเพิ่มอีก 11 ราย เป็นการติดเชื้อแบบ"กลุ่มก้อน"ครั้งแรก และขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อสะสมรวม 70 ราย
หากประมวลความล้มเหลวที่ผ่านมาของรัฐบาลในการแก้ปัญหา' โควิด - 19' มีอยู่หลายเรื่อง
1.การบริหารจัดการหน้ากากอนามัย ไม่มีประสิทธิภาพ
-เกิดภาวะขาดแคลนหน้ากากอนามัย ซึ่งรวมถึงบุคคลากรทางการแพทย์ที่ไม่มีหน้ากากอนามัยที่เพียงพอต้องมีความเสี่ยงสูงกับการติดเชื้อจากโรคนี้, ในส่วนของประชาชนก็ไม่สามารถเข้าถึงการ
จำหน่ายหน้ากากอนามัยอย่างเท่าเทียมกัน ทั่วถึง ด้วยราคาที่เป็นธรรม และไม่มีการแจกจ่ายหน้ากากอนามัยให้กับคนยากจนที่ไม่มีเงินซื้อ
- หน้ากากไม่พอใช้เพราะเหตุใด หน้ากากหายไปไหน ยังไม่มีคำตอบที่ชัดเจนจากรัฐบาลจนถึงทุกวันนี้
-เกิดการกักตุน ฉวยโอกาส แสวงหากำไร จากการขายหน้ากากอนามัย มีการประกาศขายหน้ากากอนามัยตามเพจต่างๆ เกินราคาที่ทางการควบคุมมานานแล้ว แต่ไม่มีการดำเนินการจากทางการ ปล่อยปละละเลย เพิ่งมาตื่นดูแลเรื่องนี้ ก็ช่วงหลังๆแล้ว
-เกิดข่าวฉาวพันไปถึงคนติดตามรัฐมนตรี ว่ามีเอี่ยวเกี่ยวกับการกักตุนหน้ากากอนามัย ฉวยโอกาสขาย ฟันกำไร
- ครม.อนุมัติงบกลาง 225 ล้านบาท ให้ผลิตหน้ากากผ้าจำนวน 50 ล้านชิ้น โดยให้ประชาชนในท้องถิ่นที่ได้รับการอบรมจากเจ้าหน้าที่เป็นผู้ผลิต ทำให้มีคำถามว่า หน้ากากผ้าที่ผลิตออกมาจะได้มาตรฐานป้องกัน โควิด-19 ได้หรือไม่
2. การตรวจสอบ-คัดกรอง แรงงานไทยที่ไปทำงานในต่างประเทศอย่างผิดกฎหมายที่เดินทางกลับไทย หรือที่เรียกว่า" ผีน้อย"ล้มเหลว
-ปล่อยให้มีการหลุดรอด "การกักตัว" 14 วันจากทางการไว้รอดูอาการก่อน ปรากฏจากข่าวที่ " ผีน้อย" ที่กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง เมื่อกลับมาถึงประเทศไทยก็แยกย้ายกันกลับภูมิลำเนา บางคน เมื่อกลับมาถึงประเทศไทย ก็ไปเที่ยวตามจังหวัดซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยว เช่น ภูเก็ต ไปกินอาหาร ดื่มกาแฟ จนทำให้ร้านอาหาร ร้านกาแฟ คาเฟ่ ต้องถึงกับปิดร้าน "บิ๊กคลีนนิ่ง " กันยกใหญ่
-นอกจากนั้นเมื่อ "ผีน้อย" ล็อตใหญ่จากประเทศเกาหลีใต้ซึ่งเป็นประเทศกลุ่มเสี่ยงจำนวน 200 คน กลับมาถึงเมืองไทย ก็มีการหลุดรอดการกักตัวจากทางการอีกประมาณ 70-80 คน
-ตัวเลข " ผีน้อย " ที่หลุดรอดการกักตัวจากทางการเมื่อกลับถึงไทย จนถึงขณะนี้ยอดจำนวนของ "ผีน้อย" เป็นจำนวนเท่าไหร่ ยังไม่มีการสรุปออกมา และคนเหล่านั้นอยู่ที่ไหนบ้าง ทางการได้ตามหาตัวครบหมดหรือยัง และได้มีการกักตัวครบกำหนดแล้วหรือไม่
3. มีแต่ "ตั้งรับ"ขาดมาตรการ 'เชิงรุก ' ในการป้องกัน
ไม่มีการ'สุ่มตรวจ' ประชาชนทั่วไป แต่รอให้'คนที่มีอาการไข้' เดินเข้าหาหมอ
4. มาตรการของรัฐบาลที่ออกมามักจะช้ากว่าสถานการณ์ก้าวหนึ่งเสมอ
อย่างกรณีชาวต่างชาติ ที่เดินทางจากต่างประเทศเข้าในประเทศไทย ซึ่งมีทั้งนักท่องเที่ยว และคนที่เดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย ที่ผ่านมาเข้าได้โดยง่าย ไม่มีการกักตัว หรือคัดกรอง หรือ จำกัดเที่ยวบิน หรือจำกัดวีซ่าในการเข้าประเทศ ทางการเพิ่งมาไหวตัวออกมาตรการต่างๆที่เข้มงวดเหล่านี้กับชาวต่างชาติในช่วงระยะหลังนี้ ซึ่งชาวต่างชาติที่ปล่อยเข้ามาได้โดยง่ายก่อนหน้านี้ มีจำนวนมากที่มาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง ซึ่งเป็นตัวแพร่เชื้อสู่คนไทยได้
5.การให้ข้อมูลข่าวสารของทางการ ยังไม่ตรงกัน อาทิ ข้อมูลจากศูนย์ฯของกระทรวงสาธารณสุข กับข้อมูลของศูนย์ที่รัฐบาลตั้งขึ้น บางครั้งก็ไม่ตรงกัน เข้าลักษณะต่างคนต่างทำ
แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่คนในชาติต้องช่วยกันให้กำลังใจกัน ในการสู้กับภัยต่อมนุษยชาติครั้งใหญ่นี้ แต่ในส่วนของ 'รัฐบาล' แนวร่วมกองเชียร์ที่เคยมี ก็หายหน้ากันไปเยอะเพราะผิดหวังและเข้าทำนอง 'เชียร์ไม่ขึ้น' กับความล่าช้าของรัฐบาลในการแก้ปัญหาเรื่องนี้
ช่วงค่ำของวันที่ 11 มีนาคม 2563 องค์การอนามัยโลก (WHO) ประกาศยกระดับการระบาดของเชื้อไวรัส โควิด 19 เป็น'แพนเดมิก' (pandemic) หรือ'ระบาดทั้งโลก'ไปเรียบร้อยแล้ว
ต่อสถานการณ์ 'แพนเดมิก'ของเชื้อไวรัสโควิด 19 ที่เกิดขึ้นแล้ว จึงมีความจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลจะต้องประเมินสถานการณ์ใหม่ และกำหนดยุทธศาสตร์ภาพรวมเพื่อเตรียมพร้อมรับมือสงครามโรคระบาดครั้งนี้ใหม่ เพื่อให้สังคมไทยทั้งสังคมตื่นตัวในการรับมือวิกฤตนี้ทั้งกรณีฉุกเฉินและกรณียืดเยื้อร่วมกัน
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง :ไขข้อสงสัย ระยะหลังทำไมติดเชื้อเพิ่ม-เจอรวด11 รายยังไม่เฟส
ข่าวที่เกี่ยวข้อง