
"ท็อป" หัวหน้า "โต้ง" เลขาฯ พรรคชาติไทยพัฒนาโฉมใหม่
"วราวุธ ศิลปอาชา" เปิดความในใจในการจะก้าวขึ้นเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา โดยมี "สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ" เป็นเลขาธิการพรรค
ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมาย สำหรับการที่ “ท็อป” วราวุธ ศิลปอาชา ทายาท “บรรหาร ศิลปอาชา” จะก้าวขึ้นมาเป็นหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งถือว่าเป็น “สมบัติของพ่อ” แต่การที่พรรควางตัว “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” อดีต ส.ส.จากศรีสะเกษ มาเป็นเลขาธิการพรรค เรียกได้ว่าอยู่เหนือความคาดหมาย
ว่าที่หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาให้สัมภาษณ์พิเศษ “คม ชัด ลึก” เกี่ยวกับการตัดสินใจของพรรคในครั้งนี้ รวมถึงเรื่องอนาคตพรรคชาติไทยพัฒนา ซึ่งเขาบอกว่า ยอมไม่ได้ที่จะให้คนบอกว่า พรรคนี้พ่อสร้างแต่มาพังในยุคลูก
“ผมจะสานต่อปณิธานของนายบรรหาร ผมจะไม่ยอมให้คนพูดว่าพ่อทำมาดีแล้วมาเจ๊งในสมัยลูก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น”
“ท็อป” บอกว่า ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยคิดว่าจะต้องมาเป็นหัวหน้าพรรค คิดว่าคงจะมีผู้ใหญ่ในพรรครับไม้ต่อจากนายบรรหาร แต่หลังจากนายบรรหารเสียชีวิต เริ่มมีกระแสเรื่องคนรุ่นใหม่ ผู้ใหญ่ในพรรคจึงมาหารือกัน บอกว่าจะผลัดใบ จะเอาคนรุ่นใหม่เข้ามาบริหารพรรค
"ผมไม่ได้อยากเป็น ไม่เคยคิดว่าจะต้องเป็น แต่ถ้าจะต้องเป็น ผมก็ไม่กลัว ก็พร้อม” วราวุธ กล่าว และบอกว่าทิศทางต่อไปของพรรคคือให้คนหนุ่มขึ้นมาทำงาน แต่ก็จะมีผู้ใหญ่คอยเป็นที่ปรึกษา เป็นเสาหลักให้
"ในบรรดาพรรคการเมืองเก่าแก่ เราจะมีทีมผู้บริหารที่หนุ่มที่สุดเป็นเหล้าใหม่ในขวดเก่า เพราะเราภูมิใจในขวดใบนี้ ยังภูมิใจในบ้านหลังนี้ และจะสานต่อเจตนารมณ์”
ขึ้นมาด้วยนามสกุลศิลปอาชา ?
เราเลือกไม่ได้ว่าเราจะเป็นอะไร กาลเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์
จะไม่ยอมให้คนพูดว่าพ่อทำมาดีแล้วมาเจ๊งในสมัยลูก
ถามว่ามีคุณสมบัติเหมาะเป็นหัวหน้าพรรคอย่างไร วราวุธ บอกว่า เขามองเป็น 2 องค์ประกอบ อย่างแรกคือ เรื่องความรู้ความสามารถ
"ผมอยู่กับนายบรรหารมาตลอดชีวิต ผมเริ่มทำงานการเมืองมาตั้งแต่ 3 ขวบ เดินแจกใบปลิวหาเสียง อายุไม่ถึง 10 ขวบ ขึ้นเวทีปราศรัยคนเป็นหมื่นประสบการณ์ที่ได้เห็นได้อยู่กับการเมืองมาตั้งแต่เด็ก ถึงแม้ผมจะเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ประสบการณ์ของคนรุ่นเก่าอยู่ในตัวผมไม่แพ้กัน พร้อมกับแนวคิดใหม่ๆ ที่จะเดินไปข้างหน้า เป็นข้อได้เปรียบของผม ที่ผมไม่ใช่นักการเมืองรุ่นเก่า ผมเป็นส่วนผสมระหว่างรุ่นเก่ากับรุ่นใหม่ ในสังคมไทยปัจจุบันผมไม่เชื่อว่าลำพังรุ่นใหม่จะพาไปรอด และไม่เชื่อว่ารุ่นเก่าอย่างเดียวจะพาไปรอด
องค์ประกอบที่สอง ประเด็นภายในพรรค “วราวุธ” ย้ำว่า เขาไม่ใช่คนที่เก่งที่สุด ยังมีคนเก่งที่มาเป็นหัวหน้าพรรคได้อีกหลายคน แต่ในบางสถานการณ์คนเก่งที่สุดไม่ใช่คนที่เหมาะสมที่สุด และคนที่เหมาะที่สุดก็ไม่ใช่คนเก่งที่สุด แต่เป็นคนที่มาแล้วผู้ใหญ่ในพรรคทุกคนยอมรับ แล้วทำให้พรรครวมเป็นกลุ่มก้อน ทุกคนยังช่วยกันอยู่ได้ เขาเหมาะสม เพราะมาแล้วพรรคไม่มีปัญหา ทุกคนยังช่วยเหลือ ทำให้พรรคเดินไปได้
“เป็นสิ่งท้าทายในชีวิตว่าผมจะสามารถลบคำสบประมาทได้ไหม จะสามารถสานต่อปณิธานของนายบรรหารได้ไหม ผมจะไม่ยอมให้คนพูดว่าพ่อทำมาดีแล้วมาเจ๊งในสมัยลูก อันนี้เป็นสิ่งที่ผมรับไม่ได้ หัวเด็ดตีนขาดยังไงจะไม่ยอมให้เกิดขึ้น”
“บางคนบอก เราจะหนีออกจากเงาของนายบรรหารได้อย่างไร ผมบอกว่าชีวิตนี้ผมไม่มีทางหนีออกไปได้ เพราะเงาที่นายบรรหารสร้างเป็นเงาของคนที่เป็นนายกฯ ถ้าผมจะฉีกออกจากเงานายบรรหารได้ แสดงว่าผมจะต้องทำเงาของผมให้ใหญ่กว่านายบรรหาร ในทางการเมืองอะไรใหญ่กว่านายกฯ ไม่มีแล้ว และชีวิตนี้ผมก็ไม่เคยคิดว่าผมจะไปเป็นนายกฯ ฉะนั้นเงาผมยังไงก็ไม่ใหญ่เท่านายบรรหาร ฉะนั้นผมจะวิ่งหนีทำไม เพราะสิ่งที่ผมทำทุกวันนี้ผมภูมิใจในการที่เป็นลูกนายบรรหาร ผมภูมิใจในการเป็นศิลปอาชา ผมจะใช้สิ่งเหล่านี้ในการบริหารพรรคชาติไทยพัฒนา เพื่อให้ดำรงคงอยู่ต่อไป”
พรรคปลาไหล ?
ถามว่ารู้สึกอย่างไรที่ถูกเรียกว่าเป็นพรรคปลาไหล วราวุธ บอกว่า เขาไม่ให้ความสำคัญกับคำนี้ โดยบอกว่าเป็นวลีเก่าที่เกิดขึ้นจากวาทกรรมทางการเมืองในสมัยเก่า สร้างขึ้นมาเพื่อความสะใจของนักการเมืองบางกลุ่มที่เสียผลประโยชน์ และบอกว่าพรรคชาติไทยเป็นพรรคเดียวที่เคยเป็นทุกสถานะ คือ เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล พรรคร่วมรัฐบาล แกนนำพรรคฝ่ายค้าน พรรคร่วมฝ่ายค้าน
“ภาพลักษณ์ของปลาไหลคือปลิ้นปล้อน กะล่อน เชื่อไม่ได้ แต่ถามว่าทำไมพรรคที่เป็นแกนนำรัฐบาลทุกครั้ง อยากได้พรรคไหนเป็นพรรคร่วมพรรคแรก คือ พรรคชาติไทย เพราะอุ่นใจ เราไม่เคยเปลี่ยนม้ากลางศึก ไม่เคยแทงใครข้างหลัง ถ้าสิ่งนั้นคือปลาไหล เราก็พร้อมจะเป็น”
พรรคชาติไทยพัฒนาไม่ต้องเป็นพรรคใหญ่ หวัง 30 ที่นั่ง
ว่าที่หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา กล่าวว่า ไม่ต้องการให้พรรคชาติไทยพัฒนาเป็นพรรคใหญ่โต ซึ่งก็เป็นผลพวงจากการอยู่กับนายบรรหารมาตลอดชีวิต
“สมัยปี 2538 พรรคชาติไทยมี ส.ส. 97 เสียง นายบรรหารได้เป็นนายกฯ ปีนั้นพรรคใหญ่มาก มุ้งก็เยอะมาก เช่น กลุ่มเทิดไทของพ่อเลี้ยงณรงค์ วงศ์วรรณ และกลุ่ม 16 พรรคเดียวกันแต่คนละพวก แบบนี้เป็นพวกเดียวกันแต่คนละพรรคดีกว่า ไม่ต้องมาควรระแวง หลังปี 38 พรรคชาติไทยแตกหมดเลย นายบรรหารบอก อะไรที่ไม่ใช่เนื้อแท้ทิ้งไปให้หมด ตอนนั้นเราเหลือไม่ถึง 30 คน จากเกือบร้อยคน นายบรรหารบอกอยู่แบบนี้ดีกว่า ผมยังสืบทอดเจตนารมณ์ว่ามีพรรคที่ไม่ใหญ่ไม่เล็ก เป็นพรรคขนาดกลาง อยู่กันเหมือนครอบครัว เหมือนพี่น้อง อบอุ่น ใกล้ชิดกัน”
วราวุธ บอกว่า ในการเลือกตั้งครั้งหน้าตั้งเป้าว่าจะได้ ส.ส.ทั้งสองระบบประมาณ 30 ที่นั่ง โดยหวัง ส.ส.เขตประมาณ 15-17 ที่นั่ง จากภาคกลาง อีสาน และเหนือ ที่เหลือเป็น ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ โดยจะส่ง ส.ส.ให้ครบทั้ง 350 เขต
“สิริพงศ์” เลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนาคนต่อไป
ถามถึงเลขาธิการพรรคชาติไทยพัฒนาคนต่อไป วราวุธ บอกว่า วาง “สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ” อดีต ส.ส.ศรีสะเกษ ไว้
“เขาเป็นคนหนุ่มรุ่นใหม่ที่มีศักยภาพ มีความคิดริเริ่ม และเป็นหนึ่งในขุนพลหลักที่เราทำงานด้วยกันมานานแล้ว สำคัญที่สุดคือ คนมองว่าพรรคชาติไทยเป็นพรรคสุพรรณ พรรคภาคกลาง เมื่อก่อนหัวหน้ากับเลขาฯ พรรคอยู่จังหวัดเดียวกันเลย พอมาวันนี้ถามว่าทำไมผมไม่เอา ภราดร ปริศนานันทกุล มาเป็น เพราะอยู่อ่างทอง อยู่ติดกัน ผมต้องการให้เห็นว่าพรรคชาติไทยในวันนี้ไม่ใช่พรรคของคนภาคกลางอย่างเดียว เป็นพรรคของคนในประเทศไทยทั้งประเทศ การที่โต้ง (สิริพงศ์) อยู่อีสาน จะทำให้เห็นว่าหัวหน้ากับเลขาฯ อยู่คนละภาคกันเลย ด้วยบารมีนายบรรหารสามารถแก้ปัญหาหลายๆ อย่างได้ สามารถอธิบายได้ แต่ผมต้องการการช่วยเหลือจากทุกภาคส่วน ฉะนั้นเลขาธิการพรรคจึงเอามาจากภาคอีสาน กรรมการบริหารพรรคก็จะเอามาทุกภาคเลย ทั้งอีสาน กลาง เหนือ ใต้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าพรรคเรามีความหลากหลาย”
(อ่านต่อ...รู้ยัง?? "เสี่ยโต้ง" ว่าที่เลขาฯพรรคชาติไทยพัฒนา)
เทียบการบริหารทีมฟุตบอลกับบริหารพรรค
อีกบทบาทของ วราวุธ คือการเป็นประธานสโมสรทีมสุพรรณบุรีเอฟซี ที่เขาเป็นมาตั้งแต่ปี 2554 เขาบอกว่า ฟุตบอลสอนให้มีความอดทน เพราะมีอุปสรรคหลายอย่าง เป็นการเตรียมตัวที่ดีที่จะมาทำงานให้กับพรรค แต่สเกลความหนักหน่วงคนละเรื่องเลย พรรคหนักกว่าเยอะ
ส่วนเหตุผลที่นักการเมืองมาทำทีมฟุตบอลนั้น ว่าที่หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาบอกตรงๆว่า "ก็เพราะว่าได้ฐานเสียงของประชาชน ถ้าไม่เป็นนักการเมืองจะเข้ามาทำฟุตบอลทำไม แต่ของผมสิ่งที่เราได้กลับคืนมา คือ หนึ่งทำให้คนสุพรรณได้ภูมิใจในความเป็น จ.สุพรรณ การที่จะใช้เงินไปลงพื้นที่พอทำอย่างนี้ได้ผลที่คุ้มค่ากว่า ถ้าไม่เป็นนักการเมืองก็ไม่ทำหรอก คนที่มาทำฟุตบอลก็หวังผลแบบนี้ทุกคน แต่ถ้านักการเมืองไม่เข้ามาทำ ใครจะเข้ามาทำ ทุกวันนี้ผมก็หาคนเข้ามาช่วยทำก็ยังไม่มี ฉะนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำสโมสรฟุตบอล แต่ก็เป็นบทเรียนที่ดีในการเตรียมตัวเข้ามานั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรค เป็นการฝึกทางความคิด และแก้ปัญหาหลายๆอย่าง”
วราวุธ บอกด้วยว่า ต่อไปแม้จะเขาเป็นหัวหน้าพรรค ก็คงจะเป็นประธานสโมสรทีมฟุตบอลต่อไป เพราะไม่ได้มีกฎหมายห้าม
สุพรรณยุคบรรหารเฟื่องฟู จะสานต่ออย่างไร
วราวุธ บอกว่า ในสุพรรณตอนนายบรรหารอยู่ทำไว้เยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้างพื้นฐาน สิ่งปลูกสร้างต่างๆ
"พ่อเคยพูดไว้ว่า ในสุพรรณอีก 50 ปี 80 ปี ก็หาคนมาทำแบบท่านไม่ได้ ท่านจึงทำไว้ก่อนเลย ทำให้กับคนรุ่นหลัง ดังนั้นหน้าที่ของผมไม่จำเป็นต้องสร้างอะไรเพิ่มแล้ว ใช้ประโยชน์จากสิ่งที่ท่านสร้าง ท่านหาฮาร์ดแวร์ไว้ให้แล้ว เราหาซอฟแวร์เข้ามา เช่นหาอีเวนท์ หากิจกรรมมาใส่เพื่อที่จะพัฒนาเศรษฐกิจของจังหวัด เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตคนสุพรรณ เพื่อดึงคนเข้ามาเที่ยวสุพรรณ เป็นการต่อยอดจากสิ่งที่นายบรรหารทำ ไม่จำเป็นต้องสร้างใหม่ เพราะไม่รู้จะสร้างอะไรแล้ว มีครบหมดทุกอย่างแล้ว แต่ใช้สิ่งที่มีให้เกิดประโยชน์ที่สุด"
ปัจจุบันพรรคชาติไทยพัฒนามีนายธีระ วงศ์สมุทร เป็นหัวหน้าพรรค และ นายพันธุ์เทพ สุลีสถิร เป็นเลขาธิการพรรค
คสช.ปลดล็อกให้ประชุมได้เมื่อไหร่ พรรคชาติไทยพัฒนาพร้อม "ผลัดใบ" !!
===================
โดย สมฤทัย ทรัพย์สมบูรณ์