
"ครม.สัญจร"บุรีรัมย์"เนวิน"ได้เต็มเปา
ท่ามกลางกระแส "ดูดส.ส." ของคนใน "รัฐบาล" ที่หนาหูขึ้นทุกขณะ และทิศทางของแรงดูดล่าสุดกำลังมุ่งหน้าสู่ "พื้นที่อีสานใต้"
ปฏิเสธ ไม่ได้ว่า “บุรีรัมย์” ดินแดนอีสานใต้ เป็นเป้าหมายถัดไป ใครที่คิดจะดูด “ขุนพลภูมิใจไทย” ไปร่วมทัพ คนเดียวที่จะปล่อยไฟเขียวได้คือ “ยี้ห้อยร้อยยี่สิบ” !!!
นาทีนี้คงไม่มีใครกระหยิ่มยิ้มย่องเท่า “เนวิน ชิดชอบ” ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อีกแล้ว
เพราะจะว่าไป เที่ยวนี้ที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ที่มีคิวหอบหิ้ว คณะรัฐมนตรี (ครม.) ลงพื้น ตรวจราชการที่ จ.สุรินทร์ และประชุมคณะรัฐมนตรีนอกสถานที่อย่างเป็นทางการ (ครม.สัญจร) ที่ จ.บุรีรัมย์ 7-8 พ.ค.นี้
ดูเหมือน “เนวิน” จะได้อะไรสมใจกว่าใครเพื่อน กับการหมายมั่นปั้นมือ ดัน “บุรีรัมย์” เป็น “สปอร์ตซิตี้”
ปัจจัยจากภาคเอกชนจึงไม่เพียงพอ เม็ดเงินและการสนับสนุนจากภาครัฐ จึงเป็นจิ๊กซอว์สำคัญที่จะทำให้ฝันนั้นเป็นจริง
เรียกได้ว่า การมาของ “บิ๊กตู่” เที่ยวนี้ “เนวิน” ได้หลายเด้ง
ในส่วนของการพัฒนาพื้นที่เอง มีการเตรียมเสนอของบพัฒนากลุ่มจังหวัดอีสานใต้ ต่อ “ครม.” ไว้แล้ว ประมาณ 20,000 ล้านบาท!!!
เม็ดเงินส่วนหนึ่งดูจะโฟกัส และทุ่มลงพื้นที่ “บุรีรัมย์” มากกว่าใคร
ทางผู้ว่าราชการจังหวัดบุรีรัมย์ “อนุสรณ์ แก้วกังวาล” เปิดเผยว่า การมาประชุมครม.สัญจรที่บุรีรัมย์ครั้งนี้ ทาง “กลุ่มจังหวัดนครชัยบุรินทร์” ได้แก่ จ. นครราชสีมา ชัยภูมิ สุรินทร์ และบุรีรัมย์ จะของบพัฒนากลุ่มจังหวัด โดยเน้นใน5 เรื่องด้วยกัน
1.โครงการน้ำเพื่อการเกษตร การป้องกันน้ำท่วม น้ำแล้ง
2.การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน ถนน ระบบระบายน้ำในเมืองใหญ่ การขยายสนามบินบุรีรัมย์
3.การค้าขายชายแดน และการท่องเที่ยว
4.การพัฒนาคุณภาพชีวิต
และ 5.การดูแลด้านสาธารณสุขขนาดใหญ่ การขอจัดตั้งศูนย์การแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อรองรับการแข่งขันกีฬาระดับโลก ที่จะเกิดขึ้นในบุรีรัมย์ รวมถึงศูนย์ดูแลผู้ป่วยในพื้นที่อีสานใต้
โดยผู้ว่าฯ บุรีรัมย์ ยอมรับว่า เม็ดเงินทั้งหมดประมาณ 20,000 ล้านบาทนั้น ส่วนใหญ่จะโฟกัสลงมาที่บุรีรัมย์ค่อนข้างมาก เนื่องจากเมื่อครั้งประชุมครม.สัญจร ที่โคราช ครม. ได้เห็นชอบโครงการพัฒนาพื้นที่ โดยเฉพาะนครราชสีมาและชัยภูมิไปแล้ว
ถ้ายังจำกันได้ เมื่อปีที่แล้ว “ครม.” มีมติอนุมัติให้ไทยเป็นเจ้าภาพการแข่งขันโมโตจีพี เป็นเวลา 3 ปี ตั้งแต่ฤดูกาล 2018-2020 และร่วมลงขันกับเอกชนงบปีละ 100 ล้านบาท จากค่าลิขสิทธิ์ประมาณ 400 ล้านบาท โดยจะจัดการแข่งขันกันที่สนามข้าง อินเตอร์เนชันแนล เซอร์กิต จ.บุรีรัมย์
นับเป็นเด้งแรกที่เห็นจะๆ ว่า “บุรีรัมย์” และ “เนวิน” รับไปเต็มๆ จาก “รัฐบาลคสช.”
เด้งถัดต่อมา เมื่อ “บุรีรัมย์” จะมีการแข่งขันกีฬาความเร็วระดับโลก ด่านแรกที่สำคัญในการรองรับผู้คนที่จะหลั่งไหลเข้ามา อย่างสนามบิน จำเป็น ต้องมีศักยภาพในการรองรับ ซึ่งทางเจ้าถิ่นก็ไม่รอช้า มีแผนของบขยาย “สนามบินบุรีรัมย์” เอาไว้แล้ว
เด้งต่อมา เมื่อ “เนวิน” ฝันถึง “สปอร์ตซิตี้” การขอจัดตั้งศูนย์การแพทย์ ศูนย์วิทยาศาสตร์การกีฬา เพื่อรองรับการแข่งขันระดับโลก และการท่องเที่ยวเชิงกีฬา จึงถูกผลัดดันตามมา โดยแผนทั้งหมดได้ข้อสรุปเรียบร้อยแล้ว รอ ชง “ครม.” ไฟเขียว ซึ่งไม่น่าจะมีอะไรผิดไปจากนี้ ทุกอย่างจะจบลงด้วยความแฮ๊ปปี้เอ็นดิ้งของคนบุรีรัมย์ โดยเฉพาะ “เนวิน”
แต่นั่นอาจจะยังไม่เพียงพอ หากคนใน "รัฐบาลคสช." คิดดูดคนเสื้อน้ำเงิน สังกัดภูมิใจไทย"
มีเรื่องหนึ่งที่อาจสร้างความกังวลใจให้ “เนวิน” ตลอดมา เนื่องจากภรรยาสุดเลิฟ กรุณา ชิดชอบ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดบุรีรัมย์ ถูกคณะกรรมการป.ป.ช. ตั้งอนุกรรมการไต่สวนข้อเท็จจริงกรณีกล่าวหานางกรุณา กับพวกมีพฤติการณ์ทุจริตเบิกจ่ายเงินอุดหนุนให้สมาคมกีฬาจังหวัดบุรีรัมย์จำนวน 20 ล้านบาท เพื่อนำไปใช้ในการพาประชาชนร่วมชมและเชียร์ฟุตบอลทีม “บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” ส่อเป็นการใช้เงินงบประมาณแผ่นดินโดยมิชอบ
ซึ่งความคืบหน้าการตรวจสอบ ผู้รับผิดชอบสำนวนอย่าง พล.อ.บุณยวัจน์ เครือหงส์ กรรมกรรมการป.ป.ช. เคยระบุว่าคดีนี้จะได้ข้อสรุปตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่สุดท้ายวันนี้เรื่องก็ยังไปไม่ถึงไหน
ล่าสุด เมื่อ 4 พ.ค.ที่ผ่านมา พล.อ.บุณยวัจน์ อัพเดทความคืบหน้าคดีดังกล่าวว่า ยังไม่ได้ข้อสรุป อยู่ระหว่างดำเนินการพิจารณาสรุปสำนวนในชั้นอนุกรรมการไต่สวน ซึ่งป.ป.ช.จะดูในส่วนของอาญา ก่อนจะเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการป.ป.ช. พิจารณาชี้มูลความผิดนางกรุณาหรือไม่ต่อไป ส่วนที่บอกว่าคดีนี้จะจบได้ตั้งแต่ปีที่แล้วนั้น แต่ตอนนี้ก็ยังไม่ได้ข้อสรุป เนื่องจากต้องนำเอาข้อมูลต่างๆ มาประกอบการพิจารณาอีกจำนวนมาก
ทั้งนี้ กรรมการป.ป.ช.ผู้รับผิดชอบสำนวน ปฏิเสธที่จะตอบคำถามว่า “นางกรุณา” ได้เข้าให้ถ้อยคำด้วยตัวเองต่ออนุกรรมการไต่สวนแล้วหรือไม่ นี่เองที่ทำให้หลายคนอดตั้งข้อสังเกตไม่ได้ ว่า “รัฐบาลคสช.” จะเอาเรื่องนี่มาเป็นเครื่องต่อรองกับ “ก๊วนเนวิน” และ “ภูมิใจไทย” เพื่อหวังบีบให้มาเป็นฐานสนับสนุนทางการเมืองหลัง “เลือกตั้ง”???
เพราะต้องไม่ลืมว่า กรรมการป.ป.ช.ถึง 5 คน ได้รับการสรรหาภายใต้ช่วงอำนาจพิเศษ โดยเฉพาะตัวประธานป.ป.ช. พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ลูกน้องเก่าของพี่น้อง “ตระกูลวงษ์สุวรรณ” “ประวิตร-พัชรวาท” และกรรมการป.ป.ช.บางคนยังถูกมองด้วยว่าเป็นสายตรงบางคนใน “สนช.” ที่เดินงานให้ “บิ๊กคสช.” มาตลอด
อีกทั้งตอนนี้ มี “ศาลอาญาคดีทุจริตและประพฤติมิชอบ” แล้ว และการพิจารณาคดีค่อนข้างรวดเร็ว
ดังนั้น “เนวิน” คงต้องดีดลูกคิดอย่างหนัก ว่าจะตัดสินใจอย่างไรถึงวินทั้งคดีของเจ๊ต่ายและในเกมการเมืองนี้ เพราะก่อนที่คดีจะถึงศาลฯ จะต้องผ่านการชี้มูลความผิดจาก “ป.ป.ช.” เสียก่อน
แต่เรื่องคดีในตอนนี้ เมื่อ “ป.ป.ช.” ยังไม่ฟันฉับใคร ยังไงก็มีโอกาสได้ลุ้นอีกเฮือกว่าสุดท้าย “สำนวนคดีนี้จะถูกตีตก” !!! หรือไม่
หรือหวยอาจจะตรงกันข้าม “ป.ป.ช.” อาจชี้มูลความผิด??? โดยที่ “บิ๊กเนม” บางคนอาจรอดหวุดหวิด ส่วนคนอื่นที่เหลืออาจต้องรับเคราะห์กันไป
จึงมีความเป็นไปได้ไม่น้อย หากผู้กุมอำนาจไม่ได้อะไรดั่งใจ อาจมีผู้ต้องสังเวยในเกมอำนาจครั้งนี้
แต่ทว่าชื่อชั้นระดับ “เนวิน” ผู้ผ่านการเมืองมาอย่างโชกโชน ผู้ที่รอดพ้นขุมนรกตามที่เจ้าตัวเคยนิยามไว้ คงมีกลยุทธ์ปกป้องคนใกล้ตัวไม่ให้ต้องเจ็บช้ำ และคงไม่ยอมตกเป็นรองง่ายๆ
เราอาจได้เห็นเงื่อนไขสุดเขี้ยวของ “ก๊วนเนวิน” และ “ภูมิใจไทย” หากจะให้ตอบรับเป็นพันธมิตรทางการเมืองหลัง “เลือกตั้ง” กับ “พรรคประชารัฐ” หรือพรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นหนุน “ประยุทธ์” ควบเก้าอี้นายกฯ อีกสมัยนั้น
ใช่ว่า ประยุทธ์ มา แล้วทุกอย่างจะเข้าทางง่ายๆ เสียเมื่อไหร่
อาจเจอเงื่อนไขที่ยากจะเป็นไปได้ เช่น ถ้าจะให้ “ภูมิใจไทย” ร่วมสนับสนุน “ประยุทธ์” จริง บรรดาพรรคในองคาพยพจะต้องมี ส.ส.ในระดับหลักร้อยขึ้นไป “ภูมิใจไทย” ถึงพร้อมจะร่วม
หากมี “ส.ส.” แค่ 50-60 ที่นั่ง ก็ยากที่จะดึงดูดพรรคขนาดกลางไปเป็นแนวร่วมได้ แม้จะมี “250 ส.ว.” ที่ “คสช.” สรรหา จังก้าพร้อมยกมือหนุน “ประยุทธ์” ในการโหวตนายกฯ ก๊อก2 ก็ตาม
จึงเป็นเกมยากที่พรรคขนาดกลางหลายต่อหลายพรรค ที่กำลังคิดการใหญ่ จะโฉ่งฉางเปิดตัวหนุน “ประยุทธ์” ในตอนนี้ หรือรับเทียบเชิญให้ไปมีตำแหน่งทางการเมืองใน “รัฐบาล” เหมือนที่มีตัวอย่างให้เห็นไปแล้ว
เรียกว่าหลายพรรคขนาดกลางต่างอยู่ในอาการ “อดเปรี้ยวไว้กินหวาน”
ถึงต้องพยายามสงวนท่าที ไม่เปิดหน้าเลือกข้างใคร รอผลการ “เลือกตั้ง” ซึ่งแนวโน้มจะมีเก้าอี้ ส.ส. ติดไม้ติดมือ ชนิดที่เรียกว่าได้น้ำได้เนื้อพอสมควร
ถึงตอนนั้น หาก “เพื่อไทย” “ประชาธิปัตย์” “พลังประชารัฐ” หรือพรรคใดก็ตามที่ตั้งใหม่เพื่อ ชู “ประยุทธ์” เป็นนายกฯ ไม่ว่าพรรคใดได้คะแนนเลือกตั้งมาเป็นอันดับ1 โกยเก้าอี้ ส.ส. ทะลุ 200 ที่นั่ง
จากศักยภาพตอนนี้คงก็มีแต่ เพื่อไทย เท่านั้น ที่จะเข้าวินได้ส.ส.เป็นกอบเป็นกำ จนน่าจะทะลุผ่านตัวเลข 200 ไปได้
โมเมนตั้ม ตอนนั้นจะพลิกจาก “ขั้วทหาร” มาที่ “เพื่อไทย” ทันที เรียกว่าเนื้อหอมจนพรรคขนาดกลาง รวมถึง “ภูมิใจไทย” คงจะตัดสินร่วมรัฐบาลกับด้วยไม่ยาก
เราะอย่างน้อยก็การันตีความมีเสถียรภาพได้ในระดับหนึ่ง
ขณะเดียวกัน ถ้าหากพรรคที่หนุน ประยุทธ์ โกยส.ส. ได้เกิน 200 ที่นั่ง พรรคขนาดกลางยิ่งต้องรีบร่วมรัฐบาล เพราะนั่นการันตีความปึ๊กของรัฐบาล ที่มี 250 ส.ว. เป็นแบ็กอัพ แต่ความจริงคงเป็นได้แค่ความฝัน สำหรับพรรคหนุนประยุทธ์ ที่จะชนะเลือกตั้ง โกย ส.ส.ได้มากขนาดนั้น
บางครั้ง การที่เรียกพรรคขนาดกลางว่า ตัวแปร จริงๆ มันก็คือคำนิยามของคนที่เลือกจะอยู่กับผู้ชนะต่างหาก
แล้วยิ่งเป็นการชนะด้วยกระบวนการประชาธิปไตย ผ่านการเลือกตั้งจากประชาชน ความชอบธรรมถือว่าล้นหลาม มีหรือที่พรรคขนาดกลางจะไม่มาร่วมสังฆกรรมด้วย ตามที่หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล บอกไว้ “ไม่มีใครมาดีลการเมืองก่อนการเลือกตั้ง ทุกอย่างรอที่ผลการเลือกตั้งเท่านั้น”
คำตอบนี้คงบอกได้ถึงนัยอะไรบางอย่าง
ดังนั้น การสัญจรอีสานใต้เที่ยวนี้ ของ ประยุทธ์ และ ครม. อาจกลับบ้านมือเปล่า??? ทั้งที่ขาไป ได้หอบหิ้วทั้งเม็ดเงินและความหวังลงไปหว่านโปรยให้เต็มที่แล้วก็ตาม
แต่คนที่รับไปแบบเต็มเปา ไม่ใช่ใครที่ไหน คือ ชายที่ชื่อ “เนวิน” แห่ง “บุรีรัมย์” นั่นเอง
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
'บิ๊กตู่' ให้ 'เนวิน' ได้ไหม? เนรมิตบุรีรัมย์ 'สปอร์ตซิตี้'
'อนุทิน-เนวิน'ตรวจความเรียบร้อย ก่อน'นายกฯ 'มาเยือนบุรีรัมย์
'เนวิน' เปิดรังเหย้าบุรีรัมย์ รอรับ 'บิ๊กตู่'
---***----