ชีวิตดีสังคมดี

เช็กพื้นที่ 'ค่าดัชนีความร้อน' 12 เม.ย. 66 พุ่งปรอทแตก สูงสุด 53.9 องศาฯ

เช็กพื้นที่ 'ค่าดัชนีความร้อน' 12 เม.ย. 66 พุ่งปรอทแตก สูงสุด 53.9 องศาฯ

12 เม.ย. 2566

กรมอุตุนิยมวิทยา เปิดพื้นที่ 'ค่าดัชนีความร้อน' ประจำวันที่ 12 เม.ย. 66 พุ่งปรอทแตก อยู่ในเกณฑ์อันตรายหมด สูงสุด 53.9 องศาเซลเซียส

กรมอุตุนิยมวิทยา คาดหมายค่าดัชนีความร้อนสูงสุดรายวัน ประจำวันที่ 12 เม.ย. 2566 ซึ่งพบว่า ค่าดัชนีความร้อน อยู่ในระดับอันตราย ทั้ง 5 จังหวัด 5 พื้นที่ ซึ่งค่าคาดหมายดัชนีความร้อนสูงสุด อยู่ที่ 53.9 องศาเซลเซียส ต่ำสุด 43.2 องศาเซลเซียส มีพื้นที่ใดบ้าง ตรวจสอบได้ที่นี่

 

 

ค่าคาดหมายดัชนีความร้อน วันที่ 12 เม.ย. 2566

  • เพชรบูรณ์ ค่าดัชนีความร้อน 46.8 องศาเซลเซียส
  • โกสุมพิสัย จ.มหาสารคาม ค่าดัชนีความร้อน 43.2 องศาเซลเซียส
  • บางนา กทม. ค่าดัชนีความร้อน 53.9 องศาเซลเซียส
  • ชลบุรี ค่าดัชนีความร้อน 52.3 องศาเซลเซียส
  • ภูเก็ต ค่าดัชนีความร้อน 49.0 องศาเซลเซียส

 

ทั้งนี้ ค่าดัชนีความร้อน คือ อุณหภูมิที่คนเรารู้สึกได้ในขณะนั้นว่า อากาศร้อนเป็นอย่างไร หรือ อุณหภูมิที่ปรากฏขณะนั้นเป็นเช่นไร โดยการนำเอาค่าอุณหภูมิของอากาศที่ตรวจวัดได้จริง และความชื้นสัมพัทธ์ของอากาศมาทำการวิเคราะห์ หาค่าที่เป็นตัวแทนของอุณหภูมิที่คนเรารู้สึกได้ในสภาวะอากาศขณะนั้น (ไม่ใช่อุณหภูมิที่เครื่องวัดหรือโทรศัพท์แสดง)

 

ค่าดัชนีความร้อน

โดยกรมอนามัย อธิบายเกี่ยวกับดัชนีความร้อนในแต่ละระดับ ว่าระดับไหนที่มีผลกระทบต่อสุขภาพ โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้

 

ระดับ 27 -32 องศาเซลเซียส (เฝ้าระวัง)

 

  • ผลกระทบต่อสุขภาพ คือ อ่อนเพลีย วิงเวียน คลื่นไส้ อาเจียน ปวดศรีษะ ปวดเมื่อยตามตัวจากการสัมผัสความร้อนออกกำลังกาย หรือ ใช้แรงงานท่ามกลางอากาศที่ร้อน

 

ระดับ 32 -41 องศาเซลเซียส (เตือนภัย)

 

  • ผลกระทบต่อสุขภาพ คือ เกิดอาการตะคริวจากความร้อนและอาจเกิดอาการเพลียแดด หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน

 

ระดับ 14-54 องศาเซลเซียส (อันตราย)

 

  • ผลกระทบต่อสุขภาพ คือ ตะคริวที่น่อง ต้นขา หน้าท้อง หรือไหล่ ทำให้ปวดท้องเกร็ง มีอาการเพลียแดด และอาจเกิดภาวะลมแดดได้หากสัมผัสความร้อนเป็นเวลานาน

 

ระดับมากกว่า 54 องศาเซลเซียส (อันตรายมาก)

 

  • ผลกระทบต่อสุขภาพ คือ เกิดภาวะลมแดด (Heat Stroke)

 

วิธีรับมือภาวะอากาศร้อน

 

  1. ดื่มน้ำมาก ๆ : อากาศร้อนอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลียและสูญเสียน้ำได้ง่าย ดังนั้นควรดื่มน้ำเป็นประจำเพื่อรักษาความชื้นของร่างกาย และลดการเกิดอาการต่างๆ เช่น อ่อนเพลีย คลื่นไส้
  2. เน้นรับประทานอาหารที่ปรุงสุก เเละปรุงใหม่ : การปรุงอาหารอย่างถูกวิธีจะช่วยลดการสะสมของพิษในร่างกาย เพราะอาหารที่ไม่ได้รับการปรุงสุก หรือปรุงใหม่ อาจมีการปนเปื้อนของแบคทีเรีย และไวรัส ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
  3. รักษาอุณหภูมิร่างกาย : อากาศร้อนอาจทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย และมีเหงื่อออกมากขึ้น ควรรักษาอุณหภูมิร่างกายด้วยการอาบน้ำเย็น หรือใช้ผ้าเช็ดตัวชุบน้ำเย็นเช็ดหน้า และตามร่างกาย
  4. ลดการออกกำลังกาย : ลดการออกกำลังกายหรือกิจกรรมที่ต้องใช้แรงมาก เพราะอากาศร้อนอาจทำให้ร่างกายระบายความร้อนไม่ทัน และออกซิเจนไม่เพียงพอ นอกจากนี้ยังอาจทำให้เกิดอาการอ่อนเพลีย แนะนำให้เลือกกิจกรรมเบาๆ เช่น วิ่ง หรือโยคะยามเย็น
  5. รักษาอุณหภูมิของร่างกาย : การรักษาอุณหภูมิของร่างกายในช่วงอากาศร้อนเป็นสิ่งสำคัญ โดยเฉพาะเมื่ออากาศร้อนจัด ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อต้องรับมือกับอันตรายที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิร่างกายได้ เช่น หากอยู่ในที่ที่มีอากาศร้อนมาก ควรเลือกใส่เสื้อผ้าที่มีลักษณะบางเบา และปลอดโปร่ง ไม่รัดแน่นจนเกินไป เพื่อช่วยลดอุณหภูมิภายในร่างกายให้เกิดความสมดุล