ประชาสัมพันธ์

ต้อนรับ "วันรักต้นไม้" ซีพีเอฟ ร่วมเติมพื้นที่สีเขียว 2 หมื่นไร่

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

21 ตุลาคม "วันรักต้นไม้" ประจำปีของชาติ "ซีพีเอฟ" ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายชาติไทย เติมพื้นที่สีเขียวให้ประเทศ เดินหน้าปลูกป่า-ปลูกต้นไม้ 2 หมื่นไร่

ในโอกาส  “21 ตุลาคม” ของทุกปี เป็น “วันรักต้นไม้ประจำปีของชาติ”  บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ  "ซีพีเอฟ" เดินหน้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทย สนับสนุนเป้าหมายของรัฐบาลปลูกจิตสำนึกให้ประชาชนได้เห็นความสำคัญของการอนุรักษ์และฟื้นฟูทรัพยากรป่าไม้อย่างยั่งยืน

 

“ซีพีเอฟ” ร่วมขับเคลื่อนเป้าหมายประเทศไทยเพิ่มพื้นที่สีเขียว ปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ อนุรักษ์ ฟื้นฟู เพิ่มพื้นที่ปลูกป่าบกและป่าชายเลน ลดปริมาณปล่อยก๊าซเรือนกระจก


เดินหน้าปลูกป่าและปลูกต้นไม้ 20,000 ไร่ ภายในปี 2030 สนับสนุนเป้าหมายของเครือเจริญโภคภัณฑ์มุ่งสู่องค์กรปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สุทธิเป็นศูนย์ (Carbon Neutral ) รับมือการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) ตามเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) พร้อมทั้งช่วยสร้างอาชีพ สร้างรายได้ ส่งเสริมการอยู่ร่วมกันของชุมชนและป่าอย่างยั่งยืน


ซีพีเอฟ ดำเนินธุรกิจด้วยความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม ตระหนักถึงความสำคัญของการดูแลทรัพยากรธรรมชาติ ซึ่งตามแผนกลยุทธ์ใหม่ CPF 2030 Sustainability in Action มีเป้าหมายปกป้องความหลากหลายทางชีวภาพ เพิ่มพื้นที่ปลูกป่าเป็น 20,000 ไร่ ภายใต้แนวคิด “จากภูผาสู่ป่าชายเลน”
ต้อนรับ "วันรักต้นไม้" ซีพีเอฟ ร่วมเติมพื้นที่สีเขียว 2 หมื่นไร่

สานต่อการดำเนินโครงการปลูกป่าบกและป่าชายเลน คือ โครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” อนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าเพิ่มเติม พื้นที่ป่าต้นน้ำลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง ต.พัฒนานิคม จ.ลพบุรี รวม 6,971 ไร่

โครงการ “ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ” อนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าชายเลนพื้นที่ยุทธศาสตร์ของประเทศ ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 2,388 ไร่ โครงการ “ซีพีเอฟรักษ์นิเวศ” ปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการทั่วประเทศรวม 5,000 ไร่

ต้อนรับ "วันรักต้นไม้" ซีพีเอฟ ร่วมเติมพื้นที่สีเขียว 2 หมื่นไร่

นายไพโรจน์ อภิรักษ์นุสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการบริหาร ธุรกิจสัตว์น้ำ ซีพีเอฟ ในฐานะประธานคณะทำงานโครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน กล่าวว่า บริษัทฯ ร่วมมือกับชุมชน และกรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่าและพันธุ์พืช ดำเนินโครงการ “ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้องป่าชายเลน” มาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2557 - 2561

 

สามารถช่วยอนุรักษ์และฟื้นฟูป่าชายเลนได้รวม 2,388 ไร่ และเป็นพื้นที่ปลูกใหม่จำนวน 325 ไร่ ในพื้นที่จังหวัดระยอง สมุทรสาคร ชุมพร สงขลา และพังงา และในปี 2562 -2566 มีเป้าหมายอนุรักษ์ ฟื้นฟู และเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าใหม่ที่จังหวัดสมุทรสาคร ระยอง และตราด โดยในปีนี้ ได้ดำเนินการปลูกป่าใหม่เพิ่มเติมในพื้นที่ ต.บางหญ้าแพรก จ.สมุทรสาครไปแล้ว 100 ไร่ 

คาดว่าจนถึงสิ้นปีนี้จะปลูกป่าชายเลนได้ 266 ไร่ จากการดำเนินงานในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เกิดผลเชิงบวกต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ในด้านสังคมจากการที่ป่าชายเลนสามารถป้องกันการกัดเซาะแนวชายฝั่ง เป็นแหล่งเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำตามธรรมชาติ และช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ในด้านสังคม 

ต้อนรับ "วันรักต้นไม้" ซีพีเอฟ ร่วมเติมพื้นที่สีเขียว 2 หมื่นไร่

ซีพีเอฟต่อยอดจากกิจกรรมปลูกป่าสู่การส่งเสริมอาชีพของชุมชน มีอาชีพเสริมและมีรายได้จากการทำผลิตภัณฑ์ชุมชนจำหน่าย เช่น ถ่านไบโอชาร์ที่มีคุณสมบัติในการดูดกลิ่นได้ดี เกลือสปา สบู่หอม เป็นต้น ด้านเศรษฐกิจ ชุมชนมีอาชีพเสริมและมีรายได้ โดยเฉพาะผู้ที่ทำอาชีพประมงพื้นบ้าน มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากป่าชายเลนที่อุดมสมบูรณ์ ทำให้สัตว์น้ำ กุ้ง หอย ปู ปลา เข้ามาอาศัยอยู่ในพื้นที่มากขึ้น

 

“ผลสัมฤทธิ์จากการดำเนินโครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ ในพื้นที่ นอกจากได้ผืนป่าเพิ่มขึ้นแล้ว ยังส่งเสริมคุณภาพชีวิตและความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของคนในชุมชน ทำให้ชุมชนสามารถอยู่ร่วมกับป่า และดูแลป่าอย่างยั่งยืน” ประธานคณะทำงานโครงการ ซีพีเอฟ ปลูก ปัน ป้อง ป่าชายเลน ของซีพีเอฟ กล่าว

ต้อนรับ "วันรักต้นไม้" ซีพีเอฟ ร่วมเติมพื้นที่สีเขียว 2 หมื่นไร่

นายภาณุวัตร เนียมเปรม รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ซีพีเอฟ ในฐานะประธานคณะทำงานโครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง กล่าวว่า ความร่วมมือ 3 ประสาน โดยซีพีเอฟ ชุมชน และกรมป่าไม้ ในการอนุรักษ์ ฟื้นฟู และปลูกป่าเพิ่มเติม ในโครงการ “ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง” จังหวัดลพบุรี รวม 6,971 ไร่ ช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้กับประเทศไทยตามเป้าหมายของประเทศเพิ่มพื้นที่ปลูกป่าให้ได้ 40 % ของพื้นที่ทั้งหมด ช่วยสร้างสมดุลของระบบนิเวศ 

 

ซึ่งจากการดำเนินโครงการระยะที่หนึ่ง (ปี 2559-2563) ทำให้ความหลากหลายทางชีวภาพทั้งพันธุ์พืชและพันธุ์สัตว์เพิ่มขึ้น ที่สำคัญ คือ ซีพีเอฟ ชุมชน และกรมป่าไม้ มีการติดตามการดำเนินงานอย่างต่อเนื่อง ทั้งการปลูกต้นไม้เพิ่มเติม ทำแนวกันไฟ กำจัดวัชพืชเพื่อให้ต้นไม้เติบโตได้อย่างแข็งแรง ซ่อมแซมฝายชะลอน้ำ ฯลฯ 

 

รวมไปถึงการสร้างความมั่นคงทางอาหารในระดับชุมชน ด้วยการส่งเสริมกิจกรรมการมีส่วนร่วมของชุมชนรอบพื้นที่เขาพระยาเดินธง ทำโครงการปลูกผักวิถีธรรมชาติ ซึ่งปัจจุบันมีชุมชนที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการฯ จาก 8 หมู่บ้าน และโครงการปล่อยปลาลงเขื่อน มีชุมชนที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกของโครงการจาก 11 หมู่บ้าน

 

“ในช่วงที่เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 เกือบ 2 ปีที่ผ่านมา เราไม่ได้หยุดปลูกต้นไม้ในพื้นที่ แต่ปรับรูปแบบของกิจกรรมจากการนำจิตอาสาซีพีเอฟลงพื้นที่ ทำกิจกรรมปลูกป่า ติดตามดูแลต้นไม้ เป็นการจ้างงานชุมชนช่วยดูแลและปลูกต้นไม้เพิ่มเติม กำจัดวัชพืช เป็นการกระจายรายได้ช่วยเหลือชุมชนอีกทางหนึ่งในช่วงโควิด ซึ่งหลายครอบครัว สมาชิกในครอบครัวประสบปัญหาว่างงาน” ประธานคณะทำงานโครงการ ซีพีเอฟ รักษ์นิเวศ ลุ่มน้ำป่าสัก เขาพระยาเดินธง กล่าว

 

นอกจากการดำเนินโครงการปลูกป่าบกและป่าชายเลนแล้ว ซีพีเอฟ ส่งเสริมฟาร์มและโรงงานของบริษัททั่วประเทศ ปลูกต้นไม้ในสถานประกอบการ ซึ่งดำเนินการไปแล้ว 1,720 ไร่ มีเป้าหมายดำเนินการ 5,000 ไร่ รวมทั้งเข้าร่วมโครงการสนับสนุนกิจกรรมลดก๊าซเรือนกระจก (Low Emission Support Scheme : LESS) ขององค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก. เข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว รวมปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ลดลงได้จากการปลูกต้นไม้และปลูกป่ากว่า 5 หมื่นตันคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า

 

ขณะเดียวกัน บริษัทฯ สร้างการมีส่วนร่วมของพนักงานเพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายด้านความยั่งยืนลงสู่ระดับบุคคล เปิดตัวกิจกรรม “กล้าจากป่า พนาในเมือง” ในโครงการ Sustainability in Action ยั่งยืนได้ ด้วยมือเรา สนับสนุนให้พนักงานปลูกไม้ยืนต้น ซึ่งมีมูลค่าทางเศรษฐกิจ และไม้กระถาง ช่วยดักฝุ่น PM2.5 มีการถ่ายทอดวิธีการปลูกต้นไม้อย่างถูกวิธี และการบันทึกการเติบโตของต้นไม้ เพื่อนำมาวัดการกักเก็บคาร์บอน 

 

จากการที่ต้นไม้ช่วยดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ ซึ่งไม้ยืนต้น 1 ต้น สามารถดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ จำนวน 9.5 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ / ต้น / ปี 

 

โดยในปี 2564 มีเป้าหมายปลูกต้นไม้ 20,000 ต้น ซึ่งจะดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้ 190,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์ / ปี และภายใน 5 ปี (ปี 2564-2568) มีเป้าหมายปลูกต้นไม้ 100,000 ต้น ช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ประมาณ 2,850,000 กิโลกรัมคาร์บอนไดออกไซด์เทียบเท่า โครงการดังกล่าว ยังช่วยเสริมอาชีพ สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนที่เพาะกล้าและดูแลกล้าไม้ตลอดระยะเวลาโครงการ 5 ปี มูลค่าการจ้างงานชุมชนรวมประมาณ 2 ล้านบาท

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ