เหตุวุ่นวายที่สนามบินสุรรณภูมิ หลังคนไทยกว่าร้อยคนเดินทางกลับจากต่างประเทศด้วย 5 สายการบิน และมีกระแสข่าวว่าพวกเขาหนีการกักตัวตามข้อกำหนด
ดราม่าคนไทยออกมาก่นด่ากลุ่มคนที่เพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ เมื่อคืนวันที่ 3 เมษายน สร้างความเกลียดชังไปทั่ว จนกระทั่งที่สุด มีคลิปที่ยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปล่อยพวกเขาออกไปจาก สนามบินสุวรรณภูมิ เอง
และถึงเวลานี้ พวกเขาทั้ง 158 คนได้กลับมารายงานตัวเรียบร้อยแล้วนั้น
ถึงตรงนี้ หลายคนออกมาตั้งคำถามว่าเหตุใดจึงมีเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้ แน่นอนฝ่ายหนึ่งยังคงโยนบาปทั้งหมดไว้กับประชาชนที่ไม่ยอม กักตัว ตามทางการกำหนดไว้ แต่อีกหลายฝ่ายก็ตั้งคำถามไปยังผู้มีอำนาจเช่นกันว่าช่องโหว่ตรงนี้มันมาจากใครกันแน่
ย้อนไปดูเหตุการณ์ หนึ่งในฝ่ายที่ต้องรับคมหอกแรกๆ คือ “กระทรวงการต่างประเทศ” ที่ต้องเจอคำถามว่า “ปล่อยมาได้ยังไง” ในเมื่อวันที่ 2 เมษายน ที่ผ่านมา ในการประชุม ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (ศบค.) ซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน ได้มีมติให้ขอความร่วมมือคนไทยในต่างประเทศ “ชะลอ” การเดินทางเข้าไทยตั้งแต่วันที่ 2-15 เมษายน 2563
อย่างไรก็ดี หลังรัฐมีมาตรการเช่นนี้ ทางกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้ดำเนินการตามนี้ คือ
สถานเอกอัครราชทูตและสถานกงสุลใหญ่ของไทยได้หยุดรับลงทะเบียนออกหนังสือรับรองเพื่อเดินทางกลับทุกช่องทาง รวมทั้งปิดระบบลงทะเบียนออนไลน์ของกระทรวงการต่างประเทศ นอกจากนี้ ได้ขอให้คนไทยเคร่งครัดในการหาใบรับรองแพทย์ fit to fly ที่มีอายุไม่เกิน 72 ชม. ก่อนเดินทางกลับ ตามข้อกำหนดที่ออกตาม พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน
และในเรื่องกักกันเฝ้าระวังโรค (quarantine) หลายสถานทูตได้ระบุในประกาศของสถานทูตว่า หากกลับมาในช่วงนี้ จะถูกกักกันตัวในทุกกรณี ในสถานที่ที่หน่วยงานของรัฐกำหนด 14 วัน นอกจากนี้ ในแบบฟอร์มออนไลน์ขอหนังสือรับรองจากสถานทูต ก็ได้ระบุเตือนเรื่องนี้ไว้ด้วยแล้ว
และในข้อเท็จจริงแล้ว หากย้อนไปดูข้อมูลพบว่า นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงตอนหนึ่งที่ตีความได้ว่า แม้มีคำสั่งชะลอการเดินทางเข้าในไทยตามข้างต้น แต่ก็ “ยกเว้นผู้ที่ขออนุญาตไว้ก่อนหน้านี้” โดยผู้มีความจำเป็นต้องเดินทางกลับ ขอให้ติดต่อกับสถานทูตไทยในประเทศนั้นๆ
ตรงนี้จึงสอดคล้องกับที่ เชิดเกียรติ อัตถากร อธิบดีกรมสารนิเทศ และโฆษกกระทรวงการต่างประเทศ ออกมาระบุว่า กลุ่มผู้โดยสารที่เดินทางกลับเข้ามา คือกลุ่มในช่วงรอยต่อ ซึ่งยังเดินทางขึ้นเครื่องเข้ามาได้เพราะมีหนังสือรับรองและใบรับรองแพทย์ fit to fly อายุ 72 ชม. ที่ออกก่อนหน้าจะมีประกาศให้ชะลอการเดินทาง
พูดง่ายๆ ว่าคนกลุ่มนั้นได้ทำเรื่องขอเดินทางกลับ และทุกอย่างอนุมัติเสร็จสิ้นมาตั้งแต่ก่อนรัฐบาลไทยมีมาตรการหยุดการเดินทางไปก่อน
แต่ก็ไม่ทัน เพราะข่าวก็ประโคมโจมตี รายงานชื่อและจังหวัดของกลุ่มคนไทยดังกล่าวราวกับกำลังตามล่าอาชญากร โดยทางการขีดเส้นตายให้มารายงานตัวในวันที่ 4 เมษายน ในเวลา 18.00 น. และเรื่องของการดำเนินคดีในฐานความผิดฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.สาธารณสุข อัตราโทษ จำคุก 2 ปี ปรับไม่เกิน 4 แสน หรือทั้งจำทั้งปรับ
ส่งผลให้ 158 คนแจ้นกลับมารายงานตัวครบทันทีในวันนั้น โดยเจ้าหน้าที่ได้พาเข้าไปกักตัวยังสถานที่กักตัวของทางราชการซึ่งจัดสถานที่ไว้รองรับที่ อ.สัตหีบ และโรงแรมอีก 2 แห่ง ในกทม. คือเข้าสู่กระบวนการ State Quarantine อย่างเข้มข้นตามที่นายกฯ สั่งการ
อย่างไรก็ดี เงื่อนปมของเรื่องไม่น่าจะอยู่ที่ว่าคนไทยกลุ่มดังกล่าวได้รับอนุญาตให้กลับมาไทยหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าพวกเขา “ฝ่าฝืน” ไม่ยอมรับการกักตัว 14 วัน โดยมีบางส่วนอ้างว่าไม่ได้รับทราบข้อมูลมาก่อนอีกด้วย !!
แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น คิดดีๆ การฝ่าฝืนนี้จะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าเจ้าหน้าที่เข้มกับกฎหมาย ซึ่งภาพคลิปที่คนไทยได้เห็นคือ พลตรี โกศล ชูใจ นายทหารกระทรวงกลาโหมออกมาช่วยเจรจา
ซึ่งที่สุดเรื่องนี้ ศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง (ศปม.) สอบสวนพบว่า เหตุเริ่มจากการที่ผู้โดยสารใช้เวลารอขั้นตอนการตรวจโรค การตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เป็นเวลานานหลายชั่วโมง และไม่มีเจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบที่ตัดสินใจได้มาดูแลให้ข้อมูลผู้โดยสารที่รออยู่จนเกิดเหตุวุ่นวายขึ้น และพากันเรียกร้องให้ผู้ใหญ่มาเจรจาจน พล.ต.โกศล ได้ติดต่อกับ ผอ.EOC สธ. เพื่อปรึกษาหารือ และก็ได้รับการบอกกล่าวว่า ให้ปล่อยกลับบ้านไปก่อน โดยกำชับให้ทุกคนต้องกักตัวเอง 14 วัน แม้ว่าเจ้าหน้าที่กระทรวงสาธารณสุขจะคัดค้าน แต่ไม่สามารถควบคุมตัวผู้เดินทางทั้งหมดได้ จนเกิดดราม่านั่นแหละ
ถึงตรงนี้คนไทยก็ลองพิเคราะห์กันดูว่าความหละหลวมของเหตุการณ์ครั้งนี้อยู่ที่ตรงไหน อย่างน้อย 3 เรื่องต่อไปนี้
1.จุดที่คนไทยกลุ่มนี้บางส่วนอ้างว่าไม่ได้รับการแจ้งจากรัฐว่าจะต้องกักตัว 14 วัน และกักตัวที่ไหนอย่างไร จริงเท็จแค่ไหน
2.เหตุใดจึงมีการตัดสินใจให้ปล่อยตัวไปได้ ทั้งๆ ที่มี พ.ร.ก.ฉุกเฉินกำหนดอยู่ และที่อ้างว่าทำไปตามคำสั่งของ EOC สธ. แล้วจึงค่อยติดตามกลับมารายงายตัวในภายหลังนั้น เป็นคำสั่งใคร
และ 3.เหตุใดจึงมีขั้นตอนกระบวนการอันยาวนานหลายชั่วโมงในการคัดกรอง ตามที่คนไทยกลุ่มนี้ระบุอ้างมา ทั้งๆ ที่หลังจากนั้นมีอีก 2 สายการบินที่มีการตกลงกันแล้วบินมาเข้ามาได้ ก็ไม่ได้เกิดปัญหาอะไรแบบนี้
ทั้งหมดนี้ควรมีการตรวจสอบ ชี้แจงให้คนไทยเข้าใจได้ชัดเจนด้วย อย่าข้ามขั้นตอนแล้วไปจบตรงการจัดการกับหนูตัวเล็กๆ แบบเหตุการณ์ที่สนามมวย
ข่าวที่เกี่ยวข้อง