คอลัมนิสต์

ต้องสูญเสียน้อยที่สุด

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

บทบรรณาธิการ ฉบับวันเสาร์ที่ 4 -อาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2563

          การประกาศเคอร์ฟิวห้ามออกจากบ้านตั้งแต่ 4 ทุ่มถึงตี 4 ของวันใหม่ไม่ได้อยู่เหนือความคาดหมายของผู้คนทั่วไปนัก เพราะส่วนใหญ่ก็รู้กันดีว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสมรณะโควิด-19 มีแนวโน้มลุกลามบานปลาย ยากจะคาดเอาว่า เมื่อไรจะ “เอาอยู่” เมื่อเคอร์ฟิวแล้วก็จะทำให้หลายๆ กิจกรรมต้องถูกระงับไป ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่ไม่จำเป็นเท่าที่ควร การนัดพบปะนอกเคหสถาน วิถีชีวิตกินดื่มเที่ยว รวมทั้งการจับจ่ายซื้อหาแบบไม่มีขีดจำกัดในเรื่องเวลาอย่างที่สังคมไทย-สังคมโลกยึดถือเป็นวิถีชีวิตมานานหลายสิบปี ซึ่งก็ต้องเอาใจช่วย ภาวนาให้ยาแรงขนานนี้ได้ผลเป็นที่น่าพอใจ จำนวนผู้ติดเชื้อลดลงในอัตราที่พอจะแลเห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์

 

 

 

          ถึงแม้จะไม่มีกฎหมายเข้มข้นเอาผิดถึงขั้นจองจำก็ตาม ชั่วโมงนี้คนไทยทุกคนย่อมตระหนักถึงมหันตภัยโรคระบาดนี้ แต่ถึงกระนั้นความเข้าใจนิยามของ “ระบาด” ก็ยังน่าเป็นห่วง เพราะนอกเวลาเคอร์ฟิว ประชาชนก็ยังเดินทางไปมาหาสู่กันตามปกติได้อยู่ดี หนำซ้ำอาจเกิดการกักตุนข้าวของเครื่องใช้หนักขึ้นอีก รวมไปถึงการสันทนาการก่อน 4 ทุ่ม ฯลฯ ที่สำคัญก็คืิอการไปมาหาสู่ของคนในครอบครัวที่ยังเข้าใจผิดๆ ว่าทุกคนปลอดเชื้อ ทั้งๆ ที่ในความเป็นไปขณะนี้คือ ทุกคนล้วนเสี่ยงด้วยกันทั้งสิ้นไม่ว่าจะเป็นผู้รับหรือคนแพร่เชื้อก็ตาม การประกาศเลื่อนเทศกาลสงกรานต์ออกไปแบบไม่มีกำหนด ใช่ว่าวิถีของบางคนจะถูกระงับไปด้วย ซึ่งก็เป็นอีกเหตุการณ์หนึ่งที่ต้องเฝ้าระวัง

          กฎหมายหรือมาตรการใดๆ ที่อาจจะเข้มข้นขึ้นอีกขนาดไหนก็ไม่สำคัญเท่ากับให้ความรู้ความเข้าใจประชาชน ด้วยข้อเท็จจริงที่ตรงไปตรงมา พร้อมไปกับมาตรการเยียวยาทั้งด้านวัตถุและจิตใจ ซึ่งต้องยอมรับว่ายามนี้คนไทยทุกคนตกอยู่ในห้วงยามของความตื่นตระหนก เครียด และอาจเป็นบ้าเอาได้ง่ายๆ โดยเฉพาะคนกลุ่มเสี่ยงไม่ว่าจะเป็นผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีโรคประจำตัวเช่น โรคหัวใจ ความดันโลหิตสูง เบาหวาน มะเร็ง และโรคไต ฯลฯ และสมาชิกใสครอบครัว การให้ข้อมูลข่าวสารจึงมีส่วนเยียวยาจิตใจไปพร้อมกันด้วย มิใช่เพียงการแถลงสถานการณ์ในแต่ละวันด้วยตัวเลขสถิติทั้งทั่วโลกและในไทยอันน่าสะพรึงกลัว แม้ว่าจะเป็นเรื่องจำเป็นเพื่อให้ทุกคนตระหนักถึงภัยร้ายใกล้ตัวก็ตาม

 

 

 

          สุดท้ายก็หันกลับมาที่การปฏิบัติตัวของประชาชน ซึ่งที่จริงแล้วแม้จะไม่มีพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินหรือประกาศเคอร์ฟิว ทุกคนก็สามารถช่วยเหลือสังคมได้ แต่ที่ผ่านมานั้นหลายๆ คนยังดำเนินชีวิตด้วยวิถีเดิม การตรวจอุณหภูมิร่างกายตามจุดตรวจต่างๆ กลายเป็นความมั่นใจและใบเบิกทางให้ไปสถานที่ใดก็ได้ตามใจปรารถนา ทั้งที่หลายๆ กรณีผู้ป่วยอาจจะไม่มีไข้ในเวลานั้นก็เป็นได้ การตรวจด้วยปรอทจึงเป็นเพียงการคัดกรองอย่างหยาบ สุดท้ายก็ต้องอาศัยการปฏิบัติตนของประชาชนอยู่นั่นเองซึ่งต้องรำลึกอยู่เสมอว่าตัวเองอาจจะเป็นผู้แพร่เชื้อพอๆ กับความเสี่ยงรับเชื้อ จนถึงขณะนี้ก็ยังคงต้องวิงวอนกันต่อไป เพื่อให้สังคมไทยผ่านจุดเลวร้ายนี้ไปโดยสูญเสียน้อยที่สุด

 

 

 

logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ