กลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยงมีอาการป่วยตรวจฟรี สําหรับคนไม่เข้าเกณฑ์มีค่าบริการในแต่ละ รพ.แตกต่างกัน เคลียร์ชัดป่วย โควิด-19 จะยังได้รับค่าจ้างหรือไม่
จากกรณีสถานการณ์ โรคติดเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 หรือ โควิด-19 (COVID-19) ที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องและระบาดไปทั่วโลก สำนักงานประกันสังคม ในฐานะหน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลสุขภาพของประชาชนในระบบประกันสังคม ได้ติดตามสถานการณ์การระบาดของโรคดังกล่าวอย่างใกล้ชิด พร้อมย้ำผู้ประกันตน
กรณีเพิ่งเดินทางกลับจากประเทศกลุ่มเสี่ยง
- มีอาการป่วย : มีไข้ ไอ จาม มีน้ำมูก เจ็บคอ หายใจลําบาก เหนื่อยหอบ เจ็บหน้าอก ให้สวมหน้ากากอนามัย แล้วรีบไปพบแพทย์ที่สถานพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมที่เราเลือกไว้ได้เลย แพทย์จะส่งตรวจหาเชื้อไวรัส โควิด-19 ฟรี ในกรณีที่ติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ขึ้นมาจริงๆ ก็จะได้รับการรักษาโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ประสบความสำเร็จแยกเชื้อ โควิด-19
แต่หากไม่สามารถไปโรงพยาบาลตามสิทธิ์ได้ เช่น ตอนนี้อยู่ต่างจังหวัด อยู่ต่างพื้นที่ เราสามารถเข้ารักษาในโรงพยาบาลที่อยู่ใกล้ หรือโรงพยาบาลรัฐทุกแห่งตามระบบประกันสังคมได้ก่อนเลย โดยจะเบิกจ่ายเป็นกรณีฉุกเฉิน 72 ชั่วโมง ซึ่งหากเราต้องสงสัยว่าติดเชื้อและต้องถูกกักกัน ให้แจ้งโรงพยาบาลตามสิทธิ์เพื่อรับผิดชอบค่าใช้จ่าย
- ยังไม่มีอาการป่วย : กรณีนี้ประกันสังคมไม่ครอบคลุมการตรวจ หากเราอยากตรวจหาเชื้อจริงๆ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายเอง
อย่างไรก็ตาม กรณีที่ยังไม่มีอาการป่วยใดๆ ไม่แนะนําให้รีบไปตรวจหาเชื้อ เพราะระยะฟักตัวของโรคอยู่ที่ประมาณ 14 วัน ดังนั้นในช่วงแรกๆ ที่เราไปตรวจจะมีโอกาสพบเชื้อน้อยมาก และยิ่งเพิ่มความเสี่ยงให้คนอื่นด้วย เพราะผลตรวจเป็นลบจะทําให้เราไม่ระมัดระวังตัวเอง จนแพร่เชื้อให้ผู้อื่นได้ นอกจากนี้ ถ้าตรวจรอบแรกไปแล้ว ผลคือไม่ติดเชื้อ แต่พอผ่านไปอีก 10 กว่าวันแล้วอาการไข้มา เริ่มไม่สบาย ก็ต้องกลับมาตรวจใหม่ซ้ำอีกครั้ง ทําให้ผลตรวจในครั้งแรกถือเป็นโมฆะเลย
กรณีไม่ได้เดินทางไปประเทศกลุ่มเสี่ยง
สําหรับคนที่กลัวว่าตัวเองอาจจะติดเชื้อไวรัส โควิด-19 มาแล้ว ทั้งที่ไม่ได้เดินทางออกนอกประเทศ หรือไม่ได้ไปประเทศกลุ่มเสี่ยง หากต้องการตรวจหาเชื้อเพื่อความมั่นใจ จะต้องเสียค่าใช้จ่ายในการตรวจเองเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันมีโรงพยาบาลอยู่ไม่กี่แห่งที่ให้บริการตรวจหาเชื้อไวรัส โควิด-19 เช่น
โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ ค่าบริการตั้งแต่ 3,000 - 6,000 บาท
โรงพยาบาลราชวิถี ค่าบริการตั้งแต่ 3,000 - 6,000 บาท
โรงพยาบาลเปาโล ทุกสาขา ค่าบริการตั้งแต่ 5,000 - 13,000 บาท
โรงพยาบาลรามาธิบดี ค่าบริการอยู่ที่ 5,000 บาท
โรงพยาบาลบางปะกอก 9 ค่าบริการอยู่ที่ 5,000 บาท
โรงพยาบาลพญาไท 2 ค่าบริการอยู่ที่ 6,500 บาท
โรงพยาบาลแพทย์รังสิต ค่าบริการอยู่ที่ 7,000 บาท
โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์ ค่าบริการอยู่ที่ 9,900 บาท
โดยค่าใช้จ่ายในการตรวจขึ้นอยู่กับความเสี่ยงของการติดเชื้อซึ่งอาจจะสูงกว่าข้อมูลข้างต้น
กรณีเราถูกตรวจพบว่าป่วย โควิด-19 และแพทย์มีคําสั่งให้หยุดพักรักษาตัว เราจะยังได้รับค่าจ้าง ดังนี้
ค่าจ้างจากนายจ้าง
กรณีเป็นผู้ประกันตนมาตรา 33 สามารถใช้สิทธิ์ลาป่วยโดยได้รับค่าจ้างจากนายจ้างไม่เกิน 30 วัน/ปี
เงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคม
กรณีเจ็บป่วยด้วยโรคเรื้อรัง ประกันสังคมจะจ่ายเงินทดแทนฯ ให้ในอัตรา 50% ของค่าจ้าง (คิดจากฐานอัตรา เงินเดือนสูงสุดของผู้ประกันตนแต่ละมาตรา) โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วันยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับเงินทดแทนฯ ไม่เกิน 365 วัน
ผู้ที่มีสิทธิ์รับเงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคม
ผู้ประกันตนมาตรา 33 (ทํางานกับนายจ้าง)
- มีสิทธิ์ได้เงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนวันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล โดยแพทย์มีคําสั่งให้หยุดพักรักษาตัว
- ต้องลาป่วยและได้รับเงินจากนายจ้างครบ 30 วันก่อน ส่วนที่ลาป่วยเกิน 30 วัน จึงสามารถยื่นขอรับเงินทดแทนฯ จากประกันสังคมได้
- มีหนังสือรับรองจากนายจ้างว่าได้รับค่าจ้างในวันลาป่วยครบ 30 วันทํางานใน 1 ปีปฏิทินตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานแล้ว
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎหมาย ประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
ผู้ประกันตนมาตรา 38 (ผู้ประกันตนมาตรา 33 ที่ลาออกจากงาน แต่ยังอยู่ในสิทธิ์คุ้มครอง 6 เดือน)
- มีสิทธิ์ได้รับเงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และเจ็บป่วยภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยแพทย์มีคําสั่งให้หยุดพักรักษาตัวและต้องมีรายได้จาก การประกอบอาชีพ หรือเจ็บป่วยต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จึงถือว่ามีรายได้จากการทํางานก่อนการเจ็บป่วย
- จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานไม่เกิน 15,000 บาท ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
ผู้ประกันตนมาตรา 39 (ประกันตนเอง)
- มีสิทธิ์รับเงินทดแทนฯ เมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน ไม่ว่าจะติดต่อกันหรือไม่ก็ตาม ก่อนวันที่เข้ารับการรักษาพยาบาล โดยแพทย์มีคําสั่งให้หยุดพักรักษาตัว และต้องมีรายได้จากการประกอบอาชีพ
- กรณีมีรายได้ หรือมีกิจการเป็นของตนเอง ให้นําหลักฐานมาแสดงต่อเจ้าหน้าที่จะได้รับเงินทดแทนการขาดรายได้ 50% ของค่าจ้างจริง โดยคิดจากฐานอัตราการนําส่งเงินสมทบของผู้ประกันตนมาตรา 39 (4,800 บาท) ตามกฎหมายประกันสังคม โดยได้รับครั้งละไม่เกิน 90 วัน ปีละไม่เกิน 180 วัน ยกเว้นเป็นโรคเรื้อรัง จะได้รับไม่เกิน 365 วัน
- กรณีไม่ได้ทํางานกับนายจ้าง หรือไม่มีรายได้ จะไม่สามารถเบิกสิทธิ์เงินทดแทนการขาดรายได้จากประกันสังคมได้
ผู้ประกันตนมาตรา 41 (ลาออกจากมาตรา 39 แต่ยังอยู่ในสิทธิ์คุ้มครอง 6 เดือน)
- มีสิทธิ์รับเงินทดแทนเมื่อส่งเงินสมทบภายใน 15 เดือนย้อนหลัง ไม่น้อยกว่า 3 เดือน และเจ็บป่วยภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่สิ้นสุดความเป็นผู้ประกันตน โดยแพทย์มีคําสั่งให้หยุดพักรักษาตัวและต้องมีรายได้จาก การประกอบอาชีพ หรือเจ็บป่วยต่อเนื่องจากการเป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33 จึงถือว่ามีรายได้จากการ ทํางานก่อนการเจ็บป่วย โดยจะได้รับสิทธิ์เหมือนกับผู้ประกันตนมาตรา 39
สรุปได้ว่า หากเรามีประวัติเดินทางกลับมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง และมีอาการป่วยที่ต้องสงสัยว่าติดเชื้อไวรัส โควิด-19 สามารถไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาลตามสิทธิ์ประกันสังคมได้เลย โดยแพทย์จะวินิจฉัยและส่งตรวจโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย แต่หากเรายังไม่มีอาการป่วยใดๆ แล้วอยากขอตรวจเพื่อความมั่นใจ ตรงนี้เราจะต้องออกค่าใช้จ่ายในการตรวจเอง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง