ข่าว

"นายกฯ"โพสต์เฟซบุ๊กบอกสถานการณ์"โควิด -19"อยู่ในช่วง" หัวเลี้ยวหัวต่อ" รอช้าไม่ได้

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

"นายกฯ"โพสต์เฟซบุ๊ก บอกสถานการณ์"โควิด -19 "อยู่ในช่วง"หัวเลี้ยวหัวต่อ" รอช้าไม่ได้ จำเป็นยกระดับมาตรการ หวังลดการสูญเสีย พร้อมระบุ เสียใจทำประชาชนทำมาหากินไม่ได้ เร่งเยียวยาพื้นที่แดงเข้ม 3 จังหวัดเพิ่มเติม เหตุเปรียบได้กับ"สมรภูมิรบ"

พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯและ รมว.กลาโหมโพสต์ข้อความผ่าน Facebook ประยุทธ์ จันทร์โอชา Prayut Chan-O-Cha โดยมีข้อความระบุว่า นับจนถึงวันนี้เป็นเวลามากกว่า 1 ปีแล้วที่ประเทศของเราและทั่วโลก ต่างต้องสู้กับเชื้อไวรัส โควิด-19

 

ในวันที่ 25 มีนาคมของปีที่แล้วตนได้ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยและบังคับใช้มาตรการควบคุมที่เข้มงวดเพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของเชื้อ"โควิด"ที่ทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น

 

 

"โดยวันนั้นผมได้กล่าวว่าประเทศไทยกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของภาวะวิกฤตที่หากไม่ประกาศมาตรการเข้มงวดสถานการณ์จะเลวร้ายลงซึ่งในครั้งนั้นเราสามารถเอาชนะโควิดในยกแรกได้ด้วยความสามารถของบุคลากรทางการแพทย์และความร่วมแรงร่วมใจของประชาชนทุกคนในการทำตามมาตรการของรัฐ จนเรากดยอดผู้ติดเชื้อลงมาจนเหลือศูนย์ได้ในที่สุดและเป็นที่ชื่นชมของทั่วโลกในการควบคุมการแพร่ระบาด จนเราสามารถกลับไปใช้ชีวิตแบบวิถีใหม่กันได้หลังจากนั้น"
 

แต่เป็นโชคร้ายของชาวโลกที่ไวรัสโควิดยังไม่หายไปง่าย ๆ และกลับกลายพันธุ์ไปสู่สายพันธุ์ที่ติดต่อกันได้ง่ายขึ้น ทั่วโลกจึงถูกคุกคามจากโควิดสายพันธุ์ใหม่นี้อีกครั้ง แม้แต่ประเทศที่มีการฉีดวัคซีนเป็นจำนวนมาก และอีกหลายประเทศที่เคยควบคุมสถานการณ์ได้ดี ก็ยังเกิดการระบาดอย่างหนักจนต้องกลับมาประกาศมาตรการ"ล็อกดาวน์"อีกครั้งซึ่งรวมถึงประเทศไทยด้วย
 

ในวันนี้ต้องยอมรับว่าสถานการณ์ได้เดินทางมาถึงจุดที่เป็น“หัวเลี้ยวหัวต่อ”ของภาวะวิกฤตอีกครั้ง เราต้องเจอกับการแพร่ระบาดครั้งร้ายแรงที่สุดที่ประเทศไทยเคยเจอมาหลังจากเมื่อวันจันทร์ที่ 12 กรกฎาคมที่ผ่านมา จึงได้ประกาศการล็อกดาวน์ 10 จังหวัดโดยปิดสถานที่และกิจการบางแห่ง ประกาศเคอร์ฟิว และการจำกัดการเดินทาง

 

แต่คณะแพทย์ที่ปรึกษาได้ประเมินแล้วว่าสถานการณ์ยังคงไม่ดีขึ้น ผู้ติดเชื้อและผู้เสียชีวิตยังไม่ลดลง กระทรวงสาธารณสุขพบว่าผู้เสียชีวิตจำนวนมากเป็นผู้สูงอายุและผู้มีโรคประจำตัวซึ่งเกิดจากการติดเชื้อจากคนในครอบครัวหรือคนรู้จักที่นำเชื้อมาแพร่ในบ้าน

 

นอกจากนี้ยังมีประชาชนส่วนหนึ่งที่กระทำตัวเป็นภาระของส่วนรวม กระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและเพิ่มความเสี่ยงให้กับทุกคนด้วยการรวมตัวกันเล่นการพนัน จับกลุ่มดื่มสุราหรือจัดปาร์ตี้และจัดกิจกรรมเกินจำนวนที่กฎหมายกำหนด ทำให้การแพร่ระบาดยังไม่ลดลงและมีแนวโน้มการเจ็บป่วยและเสียชีวิตเพิ่มขึ้น
 

ดังนั้นจึงรอช้าไม่ได้ที่จะต้องยกระดับมาตรการควบคุมโรค เพื่อลดความสูญเสียให้ได้โดยเร็วที่สุด จากข้อเสนอเร่งด่วนของคณะแพทย์ที่ปรึกษาและหน่วยงานต่างๆของกระทรวงสาธารณสุข ทำให้ ศบค. มีมติประกาศล็อกดาวน์ จำกัดการเดินทางในจังหวัดสีแดงเข้มที่เพิ่มขึ้นเป็น 13 จังหวัดและปิดกิจการต่างๆ อย่างน้อย 14 วัน ไม่เช่นนั้น สถานการณ์อาจจะร้ายแรงขึ้นจนยากต่อการควบคุม
 
ตนต้องขอให้ประชาชนทุกคนอดทนกันอีกครั้งและให้ความร่วมมือกับมาตรการในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ตนทราบดีว่าจะต้องมีประชาชนจำนวนมากที่ไม่สามารถทำมาหากินได้ และได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งนี้ทำให้ตนทุกข์ใจเป็นอย่างยิ่ง

 

และได้พยายามหาหนทางในการช่วยทุกท่านมาโดยตลอดด้วยมาตรการเยียวยาต่าง ๆ ทั้งการชดเชยการหยุดงาน การจ่ายเงินพิเศษเพิ่ม การลดค่าน้ำค่าไฟ การพักชำระหนี้ การลดค่าเทอมและนโยบายอื่นๆที่จะออกมารองรับมาตรการนี้ให้ครอบคลุมและทั่วถึงและจะทบทวนนโยบายต่างๆเพื่อแก้ไขปัญหาให้ตรงจุดยิ่งขึ้นซึ่งในวันนี้ ครม. ได้มีมติเห็นชอบการเยียวยาเพิ่มเติมอีก 3 จังหวัดสีแดงเข้มแล้ว
 
ในส่วนของการดูแลผู้ป่วยตนได้รับฟังข้อคิดเห็น ข้อร้องเรียนและคำถามจากประชาชน และสื่อมวลชนอยู่ตลอดเวลา และได้สั่งการให้แก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งปัญหาตอนนี้นั้นมีมากมายที่ต้องแก้ไข

 

ทั้งการเข้าถึงการตรวจคัดกรองและการหาซื้อ Antigen Test Kit ได้ในราคาถูก การเพิ่มเตียงโดยเฉพาะในกลุ่มสีแดง การจัดหาอุปกรณ์การรักษา และการเพิ่มบุคลากร การสร้างขวัญกำลังใจให้บุคลากรทางการแพทย์ การแก้ปัญหา Call Center การจัดการและดูแลผู้ป่วยที่กักตัวแบบ Home Isolation และ Community Isolation

 

โดยวันนี้ผมได้รับข่าวดีจากกระทรวงยุติธรรมว่าผลการใช้สมุนไพรไทย คือฟ้าทะลายโจร และกระชายขาว ในการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ในเรือนจำนั้น ได้ผลดีเป็นอย่างยิ่ง โดยผู้ป่วยที่รักษาด้วยฟ้าทะลายโจรหรือกระชายขาวนั้น หายป่วยทุกคนซึ่งเป็นสิ่งที่รัฐบาลให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่

 

และจะเป็นอีกหนึ่งในตัวช่วยแก้สถานการณ์ด้วยภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย นอกจากจะช่วยคนไทยที่กักตัวที่บ้านรักษาโควิดได้แล้ว และยังเป็นช่องทางเพิ่มรายได้ให้กับทั้งเกษตรกรและประเทศชาติในการส่งออกไปต่างประเทศได้อีกด้วย
 
และเรื่องที่สำคัญที่รัฐบาลไม่เคยนิ่งนอนใจในการดำเนินการ ก็คือการจัดหาวัคซีนให้ประชาชนชาวไทยให้ได้มากที่สุดและเร็วที่สุด

 

เป็นข่าวดีที่ในวันนี้(20 ก.ค. 64) กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ได้ลงนามทำสัญญากับบริษัทไฟเซอร์ (ประเทศไทย)และบริษัทไบออนเทคในการจัดซื้อวัคซีนชนิด mRNAจำนวน 20 ล้านโดสซึ่งจะสามารถนำส่งได้ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้

 

และไทยยังมีเป้าหมายที่จะสั่งซื้อเพิ่มอีกอย่างน้อย 50 ล้านโดสในปีหน้าซึ่งวัคซีนของของไฟเซอร์-ไบออนเทคนี้เข้ามาเสริมแผนกระจายวัคซีนของประเทศไทยร่วมกับวัคซีนหลักของบริษัทแอสตรา-เซเนกา ที่ไทยได้สั่งซื้อไปแล้วจำนวน 61 ล้านโดส และวัคซีนจากบริษัทอื่น ๆ ที่จะทยอยส่งมอบให้ในปลายปีนี้และต้นปีหน้า

 

รวมถึงวัคซีนที่จะผลิตโดยหน่วยงานของไทยอีกอย่างน้อย 3 ชนิดและวัคซีนชนิดใหม่ๆ เช่น Protein Subunit ที่ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำลังเจรจาอยู่กับหลายบริษัทและจะสั่งซื้อในทันทีที่เจรจาได้สำเร็จ

 

นอกจากการสั่งซื้อวัคซีนโดยตรงแล้ว รัฐบาลยังมีการเจรจากับหลายประเทศอยู่ตลอดเวลาเพื่อให้ได้วัคซีนมาเพิ่มเติมผ่านข้อตกลงความร่วมมือระหว่างประเทศ

 

โดยเราได้รับวัคซีนซิโนแวคมาจากสาธารณรัฐประชาชนจีนแล้ว 1 ล้านโดส วัคซีนแอสตรา-เซเนกา 1.05 ล้านโดส จากประเทศญี่ปุ่นและกำลังจะได้วัคซีนไฟเซอร์ 1.5 ล้านโดส จากประเทศสหรัฐอเมริกา

 

และยังมีประเทศอื่นๆเช่น สหราชอาณาจักรและสวิตเซอร์แลนด์ ที่อยู่ในระหว่างการเจรจาข้อตกลงเพื่อขอความช่วยเหลือทางวัคซีนและอุปกรณ์ทางการแพทย์ทำให้เชื่อได้ว่าไทยจะยังคงสามารถเดินหน้าฉีดวัคซีนได้ตามแผนที่กำหนดไว้ไม่ว่าจะมีอุปสรรคอะไรทุกหน่วยงานของรัฐจะไม่ท้อถอย เราจะปรับแผนและใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น
 
สงครามของโลกกับโควิด ยังไม่จบสิ้น การต่อสู้ของไทยในระลอกนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง ทั้ง 13 จังหวัด ถือเป็นสมรภูมิรบที่เราจะต้องเอาชนะ และยึดพื้นที่คืนกลับมาจากไวรัสร้ายนี้ให้ได้โดยเร็วที่สุด เพื่อไม่ให้มีประชาชนต้องเจ็บป่วยล้มตายไปมากกว่านี้

 

แต่การศึกครั้งนี้รัฐไม่สามารถเอาชนะได้ด้วยเพียงลำพังแต่ต้องเกิดจากความสามัคคีกันของคนในชาติโดยเฉพาะในสมรภูมิทั้ง 13 จังหวัดนี้ ที่จะดำเนินตามมาตรการที่ออกมาอย่างเข้มงวดที่สุด งด ลด เลี่ยงการเดินทาง

 

และการรวมตัวทำกิจกรรมไม่ทำให้ตัวเองและคนรอบข้างเสี่ยงอันตรายในขณะเดียวกันก็ต้องมีสติในการรับและส่งต่อข้อมูลข่าวสาร และช่วยกันสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ด้วยพลังบวกและน้ำใจไทย ซึ่งทั้งหมดนี้ทำให้เราสามารถผ่านวิกฤตในรอบแรกมาได้

 

และผมและคณะแพทย์เชื่อว่า หากเรา"ล็อกดาวน์"ตัวเองได้จริงๆ สถานการณ์ควรจะต้องเห็นผลดีขึ้นภายใน 14 วัน และเราจะผ่านพ้นช่วง “หัวเลี้ยวหัวต่อ” นี้ไปได้อีกครั้ง
 

แต่การกำหนดมาตรการใดๆก็ตาม จะไม่มีความหมายเลย หากไม่สามารถควบคุมให้เป็นไปตามนั้นได้ ผมขอให้เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องในทั้ง 13 จังหวัด ได้ปฏิบัติงานอย่างเข้มแข็งและเข้มงวดขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 13 จังหวัดได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่และดำเนินการตามกฎหมายอย่างเต็มที่กับผู้กระทำผิด

 

นอกจากนั้น ใน 14 วันนี้ ขอให้ผู้บริหารหน่วยงานรัฐทุกแห่งในทั้ง 13 จังหวัดบริหารจัดการให้ทำงานจากบ้าน (Work From Home) ให้ได้ 100% ยกเว้นกรณีที่จำเป็นจริงๆ
 
ตนขอขอบคุณเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนที่จะต้องอดทนเสียสละกันอีกครั้งในช่วงเวลานี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบุคลากรทางการแพทย์ รวมทั้ง อสม.ทั่วประเทศ

 

ตนขอสัญญาว่าจะดูแลประชาชนอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ตนและรัฐบาลและหน่วยงานรัฐทุกแห่ง จะยังคงตั้งหน้าตั้งตาทำงานอย่างเต็มที่ต่อไปขอเก็บทุกคำวิจารณ์มาเพื่อรับฟังและหาหนทางที่จะดูแลพี่น้องประชาชนทุกท่านอย่างดีที่สุดและจะร่วมเดินเคียงข้างกันไปในช่วงเวลาแห่งความยากลำบากนี้ จนถึงวันเราจะผ่านพ้นไปได้ด้วยกันครับ

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ