ข่าว

'พล.ต.อ.เอก' เคลียร์ชัด ไทม์ไลน์ปลด ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถึงขั้นตอนการทูลเกล้าฯ

'พล.ต.อ.เอก' เคลียร์ชัด ไทม์ไลน์ปลด ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถึงขั้นตอนการทูลเกล้าฯ

29 พ.ค. 2567

'พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์' เผยข้อกฎหมาย ต้องรอ 'ก.พ.ค.ตร.' ชี้ขาดก่อน แจงไทม์ไลน์ปลด ‘บิ๊กโจ๊ก’ ถึงขั้นตอนการทูลเกล้าฯ รวมถึงสถานะในตอนนี้ ยังเป็นรองผบ.ตร. หรือไม่

กรณีคณะกรรมการกฤษฎีกาตอบคำถามสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เกี่ยวกับกรณีมีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล ออกจากราชการไว้ก่อน

 

พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิ เปิดเผยว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้สอบถามความเห็นในกรณีนี้ 2 ประเด็น คือ การสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน นายกรัฐมนตรี ต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลเพื่อให้โปรดเกล้าฯ พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ และมีกรอบระยะเวลาที่จะต้องนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงมีพระบรมราชโองการให้พ้นจากตำแหน่งหรือไม่ โดยคณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบใน 2 ประเด็นนี้ ว่า นายกรัฐมนตรีจะต้องนำความขึ้นกราบบังคมทูลตามมาตรา 140 และมาตรา 179 แห่งพร.บ.ตำรวจแห่งชาติ 2565  ส่วนกรอบระยะเวลาในการนำความขึ้นกราบบังคมทูลขึ้นอยู่กับดุลพินิจของ นายกรัฐมนตรี ที่จะต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบภายในระยะเวลาเหมาะสม นอกจากนี้คณะกรรมการกฤษฎีกาตั้งข้อสังเกตว่า คำสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อนดังกล่าว หากเป็นการปฏิบัติตามคำแนะนำของคณะกรรมการสอบสวนที่ตั้งขึ้น ก็จะชอบด้วยกระบวนการทางกฎหมายและเป็นธรรมกับผู้ที่ถูกสอบสวน 

สำหรับ 2 ประเด็นที่ได้มีการสอบถามไปหน่วยงานรัฐที่มีการสอบถามความเห็นไปจะต้องปฏิบัติตาม ซึ่งเป็นตามมติ ครม. เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ 2482 และแนวคำวินิจฉัยของศาลปกครองสูงสุด ส่วนข้อสังเกตของคณะกรรมการกฤษฎีกาที่มีมายังหน่วยงานรัฐ มิได้มีผลบังคับให้หน่วยงานต้องปฏิบัติตาม ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของหน่วยงานนั้น อย่างกรณีนี้นายกรัฐมนตรี อาจจะรับข้อสังเกตมาพิจารณา แต่ต้องนำความขึ้นทูลเกล้าฯ แน่นอนตามที่วินิจฉัยมา แต่เมื่อไหร่ นายกรัฐมนตรี อาจจะต้องรอฟังผลการวินิจฉัยของคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรมตำรวจ หรือ ก.พ.ค.ตร. ซึ่งการวินิจฉัยเทียบเท่ากับศาลปกครองชั้นต้น จะมี 2 แนวทาง คือ 

 

กรณีแรกเป็นคุณกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ผลก็คือ ต้นสังกัดจะต้องมีคำสั่งให้กลับเข้ารับราชการทันที โดยมีผลย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันที่ 18 เม.ย. ซึ่งเป็นวันที่มีคำสั่งให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ออกจากราชการไว้ก่อน และเชื่อว่า พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็จะนำคำวินิจฉัยดังกล่าว เพื่อใช้สิทธิฟ้อง พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รรท.ผบ.ตร.อย่างแน่นอน 

กรณีที่สองเป็นโทษกับ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ก็สามารถร้องศาลปกครองสูงสุดได้ ซึ่งมีกรอบนระยะเวลา 90 วัน 
 

พล.ต.อ.เอก ย้ำว่า เรื่องนี้เป็นประเด็นข้อกฎหมายไม่ใช่ว่าใครจะมาให้ความเห็นว่า ต้องเข้ามาตรา 120 วรรคท้าย หรือ มาตรา 131 ต้องรอ ก.พ.ค.ตร.และศาลปกครองสูงสุดชี้ขาด ซึ่งทราบว่า คณะกรรมการกฤษฎีกาได้ตอบข้อหารือและส่งเรื่องมาให้สำนักงานเลขาธิการนายกรัฐมนตรีแล้ว 

 

ส่วนไทม์ไลน์ก่อนหน้านี้ รรท.ผบ.ตร. มีคำสั่งให้ตั้งกรรมการสอบสวนวินัยและให้ออกจากราชการไว้ก่อน เมื่อวันที่ 18 เม.ย. จากนั้นวันที่ 22 เม.ย. ส่งเรื่องไปยังนายกรัฐมนตรี เพื่อให้นำความขึ้นกราบบังคมทูล แต่กรณีนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้อุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร. ในประเด็นเกี่ยวกับข้อกฎหมายดังกล่าว ปรากฏว่า สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 พ.ค. ส่งเรื่องให้กฤษฎีกาพิจารณา ต่อมาวันที่ 9 พ.ค. สำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี มีหนังสือแจ้งไปยัง พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ว่า คำสั่งตั้งกรรมการสอบวินัยและให้ออกจากราชการดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย ส่วนการจะยกเลิกคำสั่งให้ไปอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค.ตร.

 

ส่วนสถานะของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ขณะนี้ถูกให้ออกจากราชการไว้ก่อนและกระบวนการทางกฎหมายยังไม่สมบูรณ์ ต้องรอกระบวนการโปรดเกล้าฯ ให้พ้นจากตำแหน่ง ซึ่งจะมีผลย้อนหลังกลับไปตั้งแต่วันที่มีคำสั่งให้ออกจากราชการ คือ 18 เม.ย. กระบวนการวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. จะต้องเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เพราะจะมีผลกระทบต่อสิทธิประโยชน์ของ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ในหลายเรื่อง หากมีความล่าช้าออกไป อาจจะเสียสิทธิในการเป็นแคนดิเดต ผบ.ตร. ขณะเดียวกันการพิจารณาวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร. มีความเป็นอิสระ ความเห็นของคณะกรรมการกฤษฎีกาดังกล่าว ไม่มีผลต่อการพิจารณาวินิจฉัยของ ก.พ.ค.ตร.  และครั้งนี้เป็นกรณีแรกที่สำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรีส่งเรื่องให้กฤษฎีกาตีความ ซึ่งตามขั้นตอนปกติสำนักงานตำรวจแห่งชาติส่งเรื่องให้นายกรัฐมนตรี นำความขึ้นกราบบังคมทูลเกล้า แต่กรณีนี้มีการอุทธรณ์และร้องทุกข์หลายหน่วนงาน