ข่าว

หมอชู 10 ประเด็นที่น่ากลัวและน่าสนใจของการนำเสนอข่าวกราดยิง

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

นพ.เจษฎา ทองเถาว์ แพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชศาสตร์ ชู 10 ประเด็นที่น่ากลัวและน่าสนใจของการนำเสนอข่าวกราดยิง ซึ่งเป็นงานวิจัยทางจิตวิทยาและบทเรียนที่มีค่าจากสหรัฐฯ

นพ.เจษฎา ทองเถาว์ แพทย์เฉพาะทางสาขาจิตเวชศาสตร์ จิตแพทย์ประจำ รพ.พระศรีมหาโพธิ์ จ.อุบลราชธานี ได้ให้ข้อมูลที่เป็นกรณีศึกษาของการนำเสนอข่าวเกี่ยวกับเหตุการณ์กราดยิงโคราช ที่ จ.ส.อ.จักรพันธ์ ถมมา ก่อเหตุสุดอุกอาจกราดยิงไม่เลือกหน้ากลางห้างเทอร์มินอล 21 โคราช จนทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 30 ราย และได้รับบาดเจ็บอีก 32 ราย

อ่านข่าว : หนุ่มเล่าประสบการณ์หนีตายเหตุกราดยิงโคราช ซูฮก จนท.อรินทราช

 

10 ประเด็นที่น่ากลัว (และน่าสนใจ) ของการนำเสนอข่าวเหตุการณ์กราดยิง [งานวิจัยทางจิตวิทยาและบทเรียนที่มีค่าจาก USA]

 

สหรัฐอเมริกาเป็นประเทศที่มีสถิติ (ที่น่าตกใจ) เกี่ยวกับเหตุกราดยิง โดยข้อมูลพบว่ามีเหตุกราดยิง 1 ครั้งเกิดขึ้นทุกๆ 2 สัปดาห์ ในขณะที่เหตุกราดยิง/ยิงกันในโรงเรียนเกิดขึ้นโดยเฉลี่ย 1 ครั้งในทุกๆ 1 เดือน ทำให้มีงานวิจัยจากผู้เชียวชาญทางจิตวิทยาและอาชญากรรมที่น่าสนใจเกิดขึ้นมากมาย กับประเด็นที่เป็นที่พูดถึงอย่างมากในวันนี้ต่อบทบาท (และจรรยาบรรณ) ของสื่อ ในการรายงานข่าวที่อาจสร้างฆาตกรกราดยิงคนต่อไป โดยหมอได้สรุปและรวบรวมเป็นข้อๆไว้ 10 ข้อ ดังต่อไปนี้

 

1. ผลการศึกษาสำคัญ(ที่น่าตกใจ) พบว่า **ยิ่งสื่อนำเสนอรายละเอียดของเหตุการณ์ , ภาพใบหน้า+ชื่อของฆาตกร รวมทั้งวิธีที่ฆาตกรใช้ ยิ่งละเอียดมากเพียงใด ก็ยิ่งทำให้เกิดเหตุการณ์กราดยิงตามมาได้มากขึ้นเท่านั้น** ผ่านกลไกของพฤติกรรมการเลียนแบบ (“copycat” หรือ “contagion effect”) 

 

2. หากเกิดข่าวใหญ่เรื่องการกราดยิง จะมีความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุกราดยิงตามมา และมันก็มักจะเกาะกลุ่มกันหรือเกิดใกล้ๆกันเสมอ งานวิจัยปี 2015 พบว่า หากมีเหตุกราดยิง แล้วมีทวิตเตอร์คำว่า “กราดยิง” มากกว่า 10 ทวิตต่อล้านทวิต ความน่าจะเป็นที่จะเกิดเหตุการณ์ที่สองภายใน 7 วันจะเพิ่มขึ้นได้มากกว่า 50%

 

3. พฤติกรรมเลียนแบบ (imitation) เกิดขึ้นได้ เพราะคนร้าย (ที่อาจจะมีสภาพจิตใจที่ไม่มั่นคง หรืออาจมีความแปรปรวนทางด้านจิตใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว) รู้สึกว่าคนร้ายคนก่อนหน้าในข่าวดัง มีลักษณะบางอย่างที่คล้ายกับตน โดยเฉพาะปัจจัยทางเพศและอายุ 

 

4. งานวิจัยพบว่า ลักษณะการลงข่าวที่สุ่มเสี่ยงต่อการกระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมการเลียนแบบ ได้แก่...

- การลงรายละเอียดเหตุการณ์หรือพฤติการของความรุนแรงอย่างละเอียด

- การลงรูปใบหน้า (+/-ชื่อ) ของฆาตกร

- การเจาะลึกประวัติชีวิตฆาตก

 

5. ผู้เชี่ยวชาญทางอาชญากรรม พบว่า ก่อนที่คนร้ายเหตุกราดยิงคนหนึ่งจะก่อเหตุ เขามักจะได้เห็นสื่อต่างๆที่เกี่ยวกับการกราดยิงมาก่อน ข่าวเหล่านั้นสามารถทำให้เขารู้สึกถึง "ความเชื่อมโยง" บางอย่างทีคล้ายกับตน เกิดความรู้สึกว่ามีคนที่คิดเช่นเดียวกันกับเขา และทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่จะลงมือทำมันให้สำเร็จ (เพราะเห็นคนต้นแบบและวิธีการอย่างละเอียดแล้วจากสื่อ) 

 

6. จากผลการศึกษาพบว่า ฆาตกรกราดยิงมักมีความอ่อนไหวและเปราะบางทางอารมณ์จิตใจ มีความรู้สึกว้าเหว่ และมองหาความสัมพันธ์แบบ Parasocial (คือ ความเชื่อมโยงกับคนอื่นๆที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน) ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างง่ายดายจากการเข้าไปอ่านหรือเสพสื่อที่ให้รายละเอียดของฆาตกรคนก่อนๆ เมื่อไม่นานมานี้ มีฆาตกรที่มหาลัยอิลลินอย ได้ลักพาตัวและฆ่านักศึกษาสาวชาวจีน ตำรวจพบหลักฐานว่าก่อนเกิดเหตุ ฆาตกรได้แช๊ตคุยกับกลุ่มของฆาตกรที่เคยก่อเหตุในเน็ททั้งก่อนและหลังกระทำ

 

7. เมื่อสื่อนำเสนอเรื่องราวของฆาตกร ทั้งชื่อ ใบหน้า ปมปัญหา รายละเอียดการฆ่า ฯลฯ กระบวนการนี้จะทำให้คนร้ายรายนั้นเริ่มเป็นที่รู้จัก อิทธิพลของการนำเสนอนี้สามารถส่งผลให้คนอีกหลายคนที่มีต้นทุนของจิตใจที่แปรปรวน อำมหิต หรือมีจิตใจที่โหดร้ายอยู่เป็นทุนเดิมรู้สึกถึงความเชื่อมโยงกับตน ทำให้รู้สึกได้ถึงสิ่งที่เหมือนตนเอง 

 

8. ยิ่งฆาตกรได้พื้นที่สื่อ ได้ออกข่าวดัง ได้ออกแถลงข่าว ได้มีภาพการทำแผน ฯลฯ ยิ่งมากเท่าไหร่ ในทางจิตวิทยาแล้วคนร้ายเหล่านี้ก็จะยิ่งรู้สึกว่า "ฉันได้รางวัล" จากความรุนแรงที่ได้ลงแรงทำไป

 

9. แล้วสื่อควรจะนำเสนอข่าวอย่างไร เพื่อจะลดโอกาสในการเกิดเหตุกราดยิงในอนาคต?

>งานวิจัยหลายฉบับได้สรุปถึงแนวทางที่สื่อจะสามารถช่วยลดพฤติกรรมการเลียนแบบของคนร้ายกราดยิงได้ โดยการปฏิบัติตามแนวทางการนำเสนอข่าวขององค์การอนามัยโลก ดังนี้่... 

- ไม่ควรลงข่าวถี่หรือนานจนเกินไป ไม่ลงหัวข่าวตัวโตเตะตา หรือไม่ใส่สีสันให้ตื่นเต้น หรือดึงดราม่าจนเกินเหตุ **ควรเขียนข่าวสั้นๆ กระชับ ให้เฉพาะรายละเอียดที่จำเป็นเพื่ออธิบายเหตุการณ์ ลดระยะเวลาการรายงานข่าวโดยรวมของเหตุการณ์นี้ลง โปรดอย่าลืมว่า ยิ่งสื่อให้พื้นที่ข่าวกับฆาตกรมากเท่าใด ก็ยิ่งเป็นการให้รางวัลกับการกระทำของมันมากเท่านั้น**

 

- ไม่ควรอธิบาย พรรณนา รายละเอียดของพฤติกรรมการฆ่าจนถึงขั้นละเอียดยิบ (จนสามารถนำไปปฏิบัติหรือต่อยอดพฤติกรรมได้) พึงระมัดระวังดาบสองคมที่อาจเกิดจากการทำอนิเมชั่นจำลองเหตุการณ์ให้ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก **พึงระลึกไว้ว่า ยิ่งอธิบายมากก็ยิ่งเลียนแบบได้มาก ยิ่งอธิบายไว้น้อย ก็ยิ่งมีโอกาสที่จะเลียนแบบได้น้อยเช่นกัน
 

- ไม่ลงรูปถ่าย ภาพประกอบ หรือคลิปมากเกินควร **ในอเมริกา กำลังมีไอเดียมากขึ้นเรื่อยๆ ถึงการไม่ลงชื่อของคนร้ายในสื่อ หรือถ้าจำเป็นก็ควรลงให้น้อยที่สุด 

 

- ไม่ขุดคุ้ยเรื่องราวชีวิตของฆาตกรมาประโคมเผยแพร่ ไม่เผยแพร่ประโยคคำพูด การแถลง คลิปสารภาพผิด ทั้งจากไฟล์เสียง วิดีโอ หรือแม้แต่แคปเจอคำพูดจากเฟชส่วนตัวของฆาตกร ฯลฯ **กลยุทธ์ที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำต่อสื่อก็คือ เมื่อต้องนำเสนอเกี่ยวกับพฤติกรรมหรือรายละเอียดใดๆของฆาตกร (เช่น การเตรียมการ การวางแผนการยิง) ให้สื่อพยายามเชื่อมโยงถึงความน่าอับอาย ความน่ารังเกียจ หรือความขี้ขลาดตาขาวของฆาตกรเสมอ **การศึกษาในสหรัฐพบว่า อัตราการกราดยิงมีแนวโน้มลดลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อสื่อหันมานำเสนอข่าวด้วยกลยุทธ์นี้

 

- ไม่ขุดคุ้ยหรือพรรณนาแรงจูงใจ ต้นสายปลายเหตุ หรือที่มาของการฆ่าแบบละเอียดจนเกินไป เพราะในทางจิตวิทยาแล้ว มนุษย์ทุกคนจะมีแนวโน้มที่จะเลียนแบบคนที่เรารุ้สึกว่าเขามี"อะไร"ที่คล้ายกันกับเราเสมอ เมื่อนำเสนอถี่เข้าถี่เข้า จากที่ไม่ทันสังเกตเห็นก็กลับเห็นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การนำเสนอซ้ำๆว่าฆาตกรทำลงไปเพื่อแก้แค้น จากการที่เขาเคยถูกรังแกมาหลายปี ข้อมูลเช่นนี้เมื่อนำเสนอซ้ำๆ จะส่งผลให้เกิดการเชื่อมโยงได้ว่า "การกราดยิงก็เป็นทางเลือกหนึ่งที่ฉันทำได้ เมื่อไหร่ที่ใครสักคนเจอกับปัญหาในชีวิต" 

 

- ควรลดการ Live สดหลังเกิดเหตุการณ์ลง จริงอยู่ที่มีคนมากมายที่ต้องการจะเสพหรือติดตามข่าวนี้ เพราะเป็นเหตุการณ์สะเทือนขวัญที่มีผู้สูญเสียเป็นจำนวนมาก (และแน่นอนว่ามันขายได้) แต่อย่าลืมว่า การLiveสดสามารถเพิ่มระดับโดยรวมของ "ความตื่นเต้น" ต่อเหตุการณ์ ที่จะทำให้ความสนใจโดยรวมของสังคมเพิ่มสูงขึ้นอย่างมาก ทำให้ฆาตกรและคนที่จะเป็นฆาตกรคนต่อไปรับรู้ได้ถึง "ความหอมหวาน" และ "รางวัล" ที่พวกเขาจะได้รับเมื่อลงมือฆ่า **คำแนะนำคือ ควรเลี่ยงไปใช้การนำเสนอในรูปแบบการอัพเดตที่เป็นลายลักษณ์อักษรแทน สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะลดความหมอหวานของของรางวัลเท่านั้น แต่มันอาจช่วยลดความสนใจโดยรวมของสังคมในเหตุการณ์ ซึ่งจะช่วยป้องกันการเลียนแบบของฆาตกรคนต่อไปได้ 

 

10. มีประโยคหนึ่งของจาซินดา อาร์เดิร์น (Jacinda Ardern) นายกรัฐมนตรีหญิงวัย 38 ปีของนิวซีแลนด์ ที่ออกมาพูดถึงเหตุกราดยิงเมื่อเดือนมีนาคม 2562 ในเมืองไครสต์เชิร์ช ซึ่งส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตถึง 50 ราย นับเป็นเหตุกราดยิงครั้งที่เลวร้ายที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสร์ของนิวซีแลนด์ คำแถลงของเธอนั้นทำให้หมอรู้สึกประทับใจและรู้สึกชื่นชมในวิสัยทัศน์ของผู้นำคนนี้อย่างมาก เธอได้ประกาศในสภาว่า "เธอจะไม่มีวันเอ่ยถึงชื่อของฆาตกรเด็ดขาด และประชาชนจะไม่ได้ยินชื่อของฆาตกรจากปากของเธออย่างแน่นอน เขาจะต้องได้รับโทษสูงสุดตามกฎหมายนิวซีแลนด์ และจะไม่ได้ในสิ่งที่เขาต้องการ นั่นคือการโด่งดังเป็นที่รู้จัก" นอกจากนี้ เธอยังบอกด้วยว่า "บุคคลที่สมควรได้รับการพูดถึง และควรให้เกียรติจริงๆ คือเหล่าคนที่สูญเสียจากเหตุการณ์อันน่าสะเทือนใจครั้งนี้มากกว่า"

 

 

สุดท้าย หมอขอแสดงความเสียใจอย่างมากต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ ขอประนามพฤติกรรมอันขี้ขลาด โสมม และอ่อนแอของคนร้ายทุกคนไม่ว่าครั้งใด และขอให้สื่อไทยจงเติบโต ปรับปรุง และเรียนรู้จากความผิดพลาด **อย่าให้ความชั่วร้ายนี้ได้มีพื้นที่ในสื่อ พึงระลึกไว้เสมอว่า รายละเอียดของฆาตกรที่ยิ่งลึก ตื่นเต้น และชัดเจนเพียงใด ก็ยิ่งเป็นเหมือนเชื้อร้ายที่สามารถติดต่อไปยังฆาตกรคนถัดไปที่กำลังเสพมันอยู่ทางหน้าจอได้มากเท่านั้น ถ้าเป็นไปได้ คือ ไม่ต้องให้ราคากับเรื่องราวชีวิตของฆาตกร แต่ให้โฟกัสไปที่เรื่องราวของผู้เสียสละ การทำงานที่เหน็ดเหนื่อยและความกล้าหาญของผู้ที่เกี่ยวข้อง รวมถึงวิธีที่จะป้องกันเหตุการณ์ในลักษณะนี้ในอนาคต จะเป็นแนวทางที่เหมาะสมอย่างยิ่ง 

 

หมอเองหวังและภาวนาว่าเหตุกราดยิงที่น่าเศร้าในครั้งนี้ จะเป็น"ครั้งสุดท้าย"ของประเทศไทย

 

 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ