ถึงไทยแล้ว "นักท่องเที่ยวจีน" ชุดแรก 269 คน แห่ขอเซลฟี่ "อนุทิน" เพียบ

นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข พร้อมด้วย นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม และ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ให้การต้อนรับ "นักท่องเที่ยวจีน" เดินทางมายังประเทศไทย ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ หลังจีนประกาศเปิดประเทศเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2566

 

 

โดยเที่ยวบินแรกที่มาถึงในเวลา 12.17 น. ซึ่งเร็วกว่ากำหนดประมาณครึ่งชั่วโมง (เดิมแจ้งไว้ 12.50 น.) คือ เที่ยวบินที่ MF 833 จากเมืองเชี่ยเหมิน สาธารณรัฐประชาชนจีน มีผู้โดยสาร จำนวน 269 คน ซึ่ง นายอนุทิน และคณะ เป็นผู้มอบพวงมาลัย ให้กับ "นักท่องเที่ยวจีน" ในขณะที่นักท่องเที่ยวชาวจีนหลายคนขอถ่ายเซลฟี่กับ นายอนุทิน อย่างไม่ขาดสาย

 

นายอนุทิน กล่าวว่า เมื่อ นักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะคนจีน หรือชาติไหน เข้ามาแล้วก็ผ่านระบบการควบคุมโรค โควิด19 ตามมาตรการที่กำหนดไว้ เพื่อป้องกันและควบคุมโรค โควิด ซึ่งมีความมั่นใจว่าประเทศไทยพร้อมให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวและผู้เดินทางจากทุกแห่งทั่วโลก โดยใช้ข้อกำหนดเดียวกัน ไม่มีการแบ่งแยก จนกว่าจะมีสถานการณ์ที่จำเป็น

 

 

สำหรับนักท่องเที่ยวชาวจีนวันนี้ จะเข้าไทยทั้งหมด 15 เที่ยวบิน รวม 3,465 คน ซึ่งแนวทางการรับท่องเที่ยวเป็นไปตามมาตรการสาธารณสุขที่มีมาตรฐานของโลก และคาดว่าตลอดปีนี้น่าจะมีนักท่องเที่ยวจากจีนเดินทางผ่านอากาศยานเข้าทางสนามบินทั่วประเทศ ประมาณ 7-10 ล้าน (จากเดิมก่อนมีโรคระบาดมีประมาณ 20 ล้านคน) ซึ่งกระทรวงคมนาคมมีความพร้อมรองรับ นักท่องเที่ยว ทุกท่าอากาศยาน และอำนวยความสะดวกให้บริการนักท่องเที่ยวทุกสัญชาติทุกรูปแบบต่างๆ โดยเน้นย้ำการเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้สอดคล้องกับจำนวนเที่ยวบินและผู้โดยสารที่เพิ่มขึ้น เน้นความสะดวกรวดเร็ว และปลอดภัย

 

 

สำหรับปัญหากระเป๋าล่าช้านั้น นายอนุทิน บอกว่า กระทรวงคมนาคม ได้เร่งแก้ปัญหาเร่งด่วน พบว่าค่าเฉลี่ยในการลำเลียงสัมภาระจากเครื่องบินมาถึงผู้โดยสารใช้เวลา 27 นาทีสำหรับ first bag และ 44 นาทีสำหรับ last bag ขณะที่การขนส่งสาธารณะก็เร่งจัดการให้เพียงพอ และขยายพื้นที่เพื่อลดความแออัด

 

 

"การเข้ามาของ นักท่องเที่ยว ถือเป็นสัญญาณที่ดี ที่จะทำให้ประเทศไทยมีรายได้ สร้างงานสร้างเงิน ซึ่งหากคนไทยทุกคนให้การต้อนรับนักท่องเที่ยว และดูแลสุขภาพตัวเอง จะทำให้เศรษฐกิจของประเทศฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็ว หลังจากที่เราเสียหายจาก โควิด เกือบ 3 ปี ในฐานะรัฐบาลขอขอบคุณทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ เอกชน และประชาชนชาวไทยทุกท่านที่ให้ความร่วมมือในการดูแลสุขอนามัยของตัวเอง รองรับสถานการณ์ระบาด โควิด ได้เป็นอย่างดี ทำให้เปิดประเทศได้ และประเทศไทยเป็นประเทศแรกๆ ที่นักท่องเที่ยวอยากมา ถือเป็นนิมิตหมายที่ดีในการเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจ"

 

 

ส่วนข้อกำหนดที่ให้ แสดงหลักฐานการฉีด วัคซีนโควิด อย่างน้อย 2 เข็ม นั้น นายอนุทิน ระบุว่า ตอนนี้ไม่มีแล้ว โดยช่วงเช้าคณะกรรมการวิชาการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ 2558 ของกระทรวงสาธารณสุข ได้ประชุมและรายงานมาว่า อัตราการฉีดวัคซีนมีจำนวนมากแล้วทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศทำให้มีภูมิคุ้มกันในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นการมุ่งเน้นว่าจะต้องแสดงหลักฐานฉีดวัคซีน จะเป็นเหตุที่ทำให้เกิดความไม่คล่องตัว ไม่สะดวก จึงมีมติออกมาว่าไม่จำเป็นต้องแสดงเอกสารแล้ว จากนี้กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงคมนาคม และกระทรวงการท่องเที่ยวฯ ก็จะต้องประชาสัมพันธ์ต่อไป

 

 

นอกจากนี้ ก่อน นักท่องเที่ยว เดินทางกลับจะต้องตรวจ rt-pcr ในห้อง lab ของไทย ถ้าพบเชื้อก็ต้องรักษา โดยใช้ประกันที่ซื้อก่อนออกเดินทางมา เพื่อไม่เป็นภาระกับงบประมาณของไทย 

 

 

"ถ้า นักท่องเที่ยว ทั่วโลกเดินทางมาประเทศไทย ไม่ใช่เฉพาะคนจีน อีกทั้งทั่วโลกก็ยังมีการระบาด สิ่งสำคัญคือเราต้องมีความพร้อม มีภูมิคุ้มกันจากการฉีดวัคซีน เมื่อเป็นแล้วอาการจะได้ไม่รุนแรงหรือเสียชีวิต และปัจจุบันนี้โควิดในประเทศไทยก็ลดระดับลง จากโรคติดต่อร้ายแรงมาเป็นโรคติดต่อที่ต้องเฝ้าระวังอยู่ตลอดเวลา อีกทั้งเรามีเวชภัณฑ์ บุคลากรการแพทย์ ยารักษาโรค และมีวัคซีนคอยให้การดูแลอยผุ่แล้ว หาก นักท่องเที่ยว ป่วยหรือติดเชื้อโควิดในไทย ก็สามารถดูแลรักษาได้ ส่วนบริการฉีดวัคซีนสำหรับนักท่องเที่ยว จะเน้นที่สมัครใจ โดยมีค่าใช้จ่าย เบื้องต้นขอให้ใช้ที่สถานบริการของรัฐก่อน จากนั้นกระทรวงสาธารณสุขจะหารือกับโรงพยาบาลเอกชน สถานพยาบาลเอกชน ว่าถ้านักท่องเที่ยวจะไปใช้บริการฉีดวัคซีน จะเก็บค่าใช้จ่ายอย่างไร"

 

 

นายอนุทิน ยืนยันด้วยว่า ตอนนี้ไม่มีการสุ่มตรวจโควิดแล้ว และการสุ่มตรวจน้ำเสียบนเครื่องบินก็เป็นมาตรการปกติของกระทรวงคมนาคม พร้อทเชื่อว่าถ้าใครจะเดินทางไปต่างประเทศก็จะฉีดวีคซีน เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันไว้ก่อน อย่างตนฉีดวัคซีน 6 เข็มแล้ว และจะไปประชุมที่สวิตเซอร์แลนด์ ก็คงจะต้องไปเพิ่มวัคซีนอีกก่อนเดินทาง ซึ่งไม่มีใครมาบังคับ แต่จะรู้ได้ด้วยตัวเอง