ข่าว

"เหยื่อตำรวจ" โผล่อีก อัจฉริยะ หอบพ่อแม่ลูก "ถูกซ้อม-อุ้มรีด" แจ้งกองปราบ

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

อัจฉริยะ พาครอบครัว "เหยื่อตำรวจ" ร้องกองปราบ หลังถูกจับ "ถูกซ้อม-อุ้มรีด" ซุกยาเสพติด ส่วนลูกสาวถูกกักขังเป็นตัวประกัน ซ้ำติดคุกนาน 14 ปี หลังพ้นโทษร้องความเป็นธรรม ทางด้าน "พันตำรวจโท" ตำรวจคู่กรณี แจงทำตามหน้าที่ และยืนยันขอต่อสู้ทางคดี

นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้พา นายสุวัตน์ (สงวนนามสกุล) อดีตผู้ต้องหาคดียาเสพติด , นางมน (ภรรยา) และ น.ส.เอ (นามสมมติ) "เหยื่อตำรวจ" เข้าพบ พ.ต.ต.นันพิพัฒน์ ยังดี สว.(สอบสวน) กก.2 บก.ป. เพื่อแจ้งความดำเนินคดีกับ นายตำรวจยศ "พันตำรวจโท" ตำแหน่งรอง ผกก.(สอบสวน) โรงพักแห่งหนึ่ง และพวกในข้อหาร่วมกันพยายามฆ่า , ร่วมกันปล้นทรัพย์ และร่วมกันพรากผู้เยาว์ "ถูกซ้อม-อุ้มรีด"

 

"เหยื่อตำรวจ" โผล่อีก อัจฉริยะ หอบพ่อแม่ลูก "ถูกซ้อม-อุ้มรีด" แจ้งกองปราบ

 

หลังจากถูกชุดจับกุมดังกล่าว อ้างว่าครอบครองยาเสพติด และถูกควบคุมตัวไปซ้อมให้รับสารภาพ ส่วนลูกสาวถูกกักขังเป็นตัวประกัน เมื่อปี 2550 โดยนายสุวัตน์ ผู้ต้องหาในคดีดังกล่าว และนางมน (ภรรยา) ได้แสดงถึงวิธีการถูกบุคคลดังกล่าว ลงมือซ้อมให้รับสารภาพ ให้กับสือมวลชนได้ดูอีกด้วย 


นางมน เปิดเผยว่า ในช่วงวันเกิดเหตุ ตนอยู่ในบ้านกับลูกสาว และสามี จู่ๆ ได้มีชายฉกรรย์ ประมาณ 8 คน บุกเข้ามาในบ้านพัก พร้อมกับถามหาว่า ยาเสพติดอยู่ที่ไหน จากนั้นได้เข้าไปมัดแขนของสามี และค้นหายาเสพติดภายในบ้าน แต่ไม่เจอยาเสพติด ดังกล่าวแต่อย่างใด ต่อมาพวกตนจึงถูกปิดตา และถูกนำตัวขึ้นรถไปที่เซฟเฮ้าส์แห่งหนึ่ง โดยแยกลูกของตนไปกับรถอีกคัน 

 

เมื่อถึงเซฟเฮ้าส์  ได้ถูกกลุ่มชายฉกรรย์ จับเข้าไปในห้องน้ำ และถูกปิดตา มัดแขน จับให้นอนลง และเอาสายไฟมารัดขา เอาน้ำราด และให้ผู้ชายอีกคนหนึ่ง มานั่งทับ และใช้ไฟฟ้าช็อต 3 ครั้ง พร้อมกับใช้ถุงพลาสติกมาครอบหัวจนหายใจไม่ออก ส่วนสามีของฉัน ถูกซ้อมอยู่อีกห้องหนี่ง ซึ่งไม่เห็นว่าทำอะไรบ้าง เหตุการณ์ดังกล่าวนานเกือบ 1 ชั่วโมง 

 

จากนั้นบุคคลที่่อ้างว่าเป็นตำรวจ ได้พามาส่งที่บ้านพักตามเดิม แล้วบอกว่า เจอยาเสพติดอยู่นอกบ้าน เป็นของลูกน้อง เรื่องที่เกิดเหตุฉันไม่รู้เรื่องยาเสพติดอะไรเลย หลังเกิดเหตุไม่ได้ร้องเรียนอะไร เพราะกลัวว่า จะถูกทำร้ายอีก แต่เมื่อสามีออกมาจากคุก จึงอยากดำเนินคดีกับผู้เกี่ยวข้องให้ถึงที่สุด เพื่อทำความจริงให้ปรากฏ 

 

ขณะที่ นายสุวัตน์ กล่าวว่า ตัวเองต้องอยู่ในคุกนานถึง 14 ปี และต้องต่อสู้มาถึง 3 ศาล หลังจากพ้นโทษออกมา จึงตัดสินใจร้องเรียนขอความเป็นธรรมกับหน่วยงานรัฐ แต่ก็ยังไม่ได้รับการช่วยเหลือ จึงเข้าแจ้งความกับตำรวจกองปราบปราม เพื่อให้ช่วยเรื่องคดี ที่ถูกทำร้ายร่างกาย

 

ทางด้าน น.ส.เอ (นามสมมุติ) อายุ 28 ปี ลูกสาว เปิดเผยว่า หลังจากตน และพี่สาวถูกพาตัวไปยังกระท่อมแห่งหนึ่ง ตำรวจประมาณ 4 คน ก็หยิบกระเป๋าของแม่ตนออกมาแบ่งเงินกัน เป็นเงินประมาณ 30,000 บาท และนั่งเล่นไพ่กัน โดยบอกให้อยู่เฉยๆ ต่อมาเมื่อมีโทรศัพท์แจ้งเข้ามาว่า เจอยาแล้ว พวกตนจึงได้เจอกับพ่อแม่ 
 

 

"ตอนที่เจอแม่ แม่ตัวสั่น และหน้าซีด ส่วนพ่อมีรอยช้ำตามตัว ตัวเปียกโชก มีคราบเลือดที่ปาก จากนั้นตำรวจได้หยิบเอกสารออกมาให้พ่อเซ็น แต่ไม่รู้ว่าคือเอกสารอะไร ขณะเกิดเหตุ คนในละแวกใกล้เคียง ได้เข้ามาดู แต่ถูกตำรวจไล่ออกไป โดยแม่ยังต้องกดเงินสดให้ตำรวจไปอีกประมาณ 100,000 บาทอีกด้วย" น.ส.เอ กล่าว 

 

ทั้งนี้ นายอัจฉริยะ กล่าวว่า ในวันนี้จะแจ้งความดำเนินคดีในข้อหา ร่วมกันพยายามฆ่า , ร่วมกันพรากผู้เยาว์ และ ร่วมกันปล้นทรัพย์ ขณะนี้ทราบตัวตำรวจชุดดังกล่าวแล้ว ซึ่งมีประมาณ 8-12 คน โดยมีตัวการหลักเป็นตำรวจยศ "พันตำรวจโท"  ตำแหน่ง รอง ผกก.โรงพักแห่งหนึ่ง จากการตรวจสอบตำรวจกลุ่มดังกล่าว พบว่า ได้ก่อเหตุมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งยาเสพติดจำนวนเกือบ 4,000 เม็ดนั้น เป็นของชาวลาว 3 คน ซึ่งเป็นลูกน้องเขียงหมูของนายสุวัตน์ โดยชาวลาวทั้ง 3 คน ได้รับสารภาพแล้ว ซึ่งตนมองว่า การกระทำของตำรวจกลุ่มดังกล่าว ไม่ใช่วิธีการของตำรวจ แต่เป็นวิธีการของโจร

 

ทั้งนี้ จากการสอบถามข้อมูลกับทาง "พันตำรวจโท" รายนี้ ที่ถูกกล่าวอ้างถึง ได้ออกมายืนยันว่า ตนเองและชุดจับกลุ่ม ได้ปฏิบัติตามหน้าที่อย่างถูกต้อง ส่วนการแจ้งความกลับ ก็ถือว่าเป็นสิทธิ์ สำหรับตนเองก็จะสู้คดีต่อไป พร้อมกับระบุว่า ไม่มีการบังคับยัดยาเสพติดให้ผู้ต้องหา รวมถึงไม่ได้ทำร้ายร่างกาย และรีดทรัพย์ ตามที่ถูกกล่าวอ้างอย่างแน่นอน

 

"ไร้สาระครับ เพราะศาลพิพากษาทุกอย่างจบหมดแล้ว หากต้องการแจ้งความ เดี๋ยวเราค่อยไปว่ากันบนศาล ทำทุกอย่างถูกต้อง ตามข้อกฎหมาย" พันตำรวจโท ซึ่งเป็นคู่กรณี ระบุ 
 

 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ