
"เด็กเล็ก" เฮ ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย พร้อมเปิดห้องเรียน 15 ตุลาคมนี้
รศ.นพ.อดิศักดิ์ เผย เด็กเล็ก ทุกรายของศูนย์ฯได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 มีการตรวจเป็นระยะ ด้วยวิธีการสุ่มตรวจ พร้อมเปิดห้องเรียน 15 ตุลาคม นี้ แนะปลูกฝังเด็กเล็กให้พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง รักธรรมชาติ เรียนรู้เข้าใจคนอื่น เด็กจะเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และมั่นคง
วิกฤติ โควิด-19 ที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบต่อบรรดาสถาบันการศึกษา ทำให้ต้องหยุดการเรียนการสอน "ศูนย์เด็กเล็ก" ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนามนุษย์ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน แต่ก็ยังคงสู้ยืนหยัดเพื่อให้ “อยู่กับ COVID” ได้อย่างยั่งยืน
เช่นเดียวกับ ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ภายใต้การบริหารโดย รศ.นพ.อดิศักดิ์ ผลิตผลการพิมพ์ ผู้อำนวยการสถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว ม.มหิดล ที่ยังคงยืดหยัดต่อสู้กับวิกฤติ โควิด-19 อย่างเข้มแข็ง
โดยที่ผ่านมาได้มีการวางแผน ทดลอง และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ระหว่างเครือข่าย และผู้ปกครอง เพื่อให้สามารถ “อยู่กับ COVID-19” ได้อย่างยั่งยืน โดยเชื่อมั่นว่าในวันที่ 15 ตุลาคม 2564 ที่จะถึงนี้ เด็กๆ จะได้กลับมาเข้าชั้นเรียนได้อย่างปลอดภัย ได้กลับคืนสู่เบ้าหลอมแรกของการพัฒนาชีวิตมนุษย์ ณ ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา ได้ต่อไป
รศ.นพ.อดิศักดิ์ ได้แสดงมุมมองถึงการที่กระทรวงสาธารณสุข(สธ.) จะกำหนดให้เด็กอายุตำ่กว่า 6 ปีเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 ได้ต่อไปในอนาคตหรือไม่นั้น เชื่อว่าการทดสอบวัคซีนเชื้อตายสำหรับใช้ใน "เด็กเล็ก" น่าจะประสบความสำเร็จและนำมาใช้ได้ เช่นเดียวกับที่สธ.ได้ไฟเขียวให้เด็กอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนประเภท mRNA ได้
ในขณะนี้ได้มีการเตรียมความพร้อมให้กับ ศูนย์พัฒนาเด็กปฐมวัย สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว มหาวิทยาลัยมหิดล สามารถรองรับมาตรการฯ ได้อยู่ตลอดเวลา โดยในเบื้องต้นจะให้ "เด็กเล็ก" ทุกรายของศูนย์ฯ ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และจะมีการตรวจต่อไปเป็นระยะๆ ด้วยวิธีการสุ่มตรวจ
และยังคงใช้วิธีการแบ่งเด็กออกเป็นกลุ่มๆ ทำกิจกรรมแยกกันอย่างชัดเจน แต่จะให้เด็กสามารถเล่นกลางแจ้งได้โดยมีการควบคุม และเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด
ตลอดจนได้ขอความร่วมมือให้ผู้ปกครองรายงานสถานการณ์อย่างไม่ปิดบัง กรณีสงสัยว่ามีบุคคลในครอบครัวสัมผัสเชื้อ เพื่อจะได้ให้เด็กหยุดเรียนที่บ้านสังเกตอาการต่อไป
ซึ่งจากการทดลองตรวจหาเชื้อ COVID-19 กับเด็กในพื้นที่กักโรคของชุมชน (Community Isolation) ที่ผ่านมาพบว่า การตรวจโดยใช้วิธี Swab หรือการเก็บตัวอย่างโดยใช้ไม้พันสำลีสอดเข้าทางรูจมูกนั้น แม้จะให้ผลที่ดี แต่ไม่อาจใช้กับเด็กเล็กทุกรายได้
เนื่องจากอาจทำให้ "เด็กเล็ก" รู้สึกหวาดกลัว แต่ด้วยบุคลากรที่มีทักษะในการดูแล "เด็กเล็ก" แม้ไม่ใช่บุคลากรทางการแพทย์ ก็จะสามารถทำได้อย่างราบรื่น
นอกจากนี้ อาจใช้การตรวจด้วยวิธีอื่นที่ง่ายกว่าทดแทน เช่น วิธีการตรวจด้วยน้ำลาย ทั้งนี้ การสร้าง “ภูมิคุ้มกันหมู่” ในผู้ใหญ่ด้วยการเข้ารับการฉีดวัคซีนโควิด-19 หมายถึง การสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็กด้วย
เนื่องจากเป็นบุคคลที่เด็กใกล้ชิดโดยตรง หากผู้ใหญ่ได้เข้ารับการฉีดวัคซีน เด็กก็จะปลอดภัยไปด้วย แต่ถึงแม้จะได้รับวัคซีนแล้ว ก็ไม่ควรนิ่งนอนใจ ยังคงควรต้องปฏิบัติตามมาตรการรักษาความสะอาด และรักษาระยะห่างเช่นเดิม ซึ่งการกอดรัดฟัดเหวี่ยงเด็ก อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้
“เด็กในยุคโควิด-19 แพร่ระบาดนอกจากควรได้รับการฝึกทักษะต่างๆ ที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิตแล้ว ควรส่งเสริมให้เด็กได้รู้จักการเรียนรู้ด้วยตนเอง และพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ที่จะเกิดขึ้นต่อไป รวมทั้งรักธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม และเข้าใจผู้อื่น จะทำให้เด็กเติบโตได้อย่างสมบูรณ์และมั่นคง” รศ.นพ.อดิศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
- “เรียนออนไลน์” การบ้านท่วม ทำเด็กไทยเนือยนิ่งเพิ่มเป็น 14ชั่วโมงต่อวัน
- เช็คที่นี่ เกณฑ์ศธ.ไฟเขียว "รร." เปิดเรียน ทั้งแบบ พักนอน-ไปกลับ
- "ตรีนุช" ไม่บังคับรร. "เปิดเทอม" เต็มรูปแบบพร้อมกัน 1 พฤศจิกายนนี้
- รู้ยัง 3แพลตฟอร์มฝึก "ทักษะแห่งอนาคต" จาก 3มหาวิทยาลัยชั้นนำ
- เปิด10ทริคเรียนเก่ง สไตล์ "ครูเบล" นักเรียนทุนแลกเปลี่ยนทั่วโลก