"ขึ้นภาษีบุหรี่” มีผล 1 ตุลาคมนี้ หลังครม.ไฟเขียวตามที่ ก.คลังเสนอ เข้าพิจารณาแจงเหตุผล 4 ข้อขึ้นภาษี สุขภาพ รายได้ เกษตรกร รายได้รัฐที่เพิ่มขึ้น และการจัดเก็บภาษียาสูบที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น ส่งผลให้ราคาจำหน่ายปลีกขยับราคาเพิ่มตามไปด้วย
มีความพยายาม "ขึ้นภาษีบุหรี่" หรือปรับโครงสร้างภาษีบุรีใหม่ มาแล้วหลายครั้ง แต่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ก็เลื่อนการพิจารณามาตลอด ท่ามกลางกระแสเห็นด้วยและเห็นต่าง หวั่นกระทบเกษตรกรผู้ปลูกยาสูบ ขณะที่ฝ่ายหนุนหวังการปรับราคาบุหรี่ใหม่จะทำให้สิงห์อมควันลดจำนวนการสูบบุหรี่น้อยลง ล่าสุดมีความคืบหน้าในเรื่องนี้
เมื่อวันที่28 กันยายน 2564 ที่ทำเนียบรัฐบาล รายงานข่าวจากที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ระบุว่าที่ประชุมครม. เห็นชอบอัตราภาษีบุหรี่ใหม่แล้ว ซึ่งจะเริ่มใช้ในวันที่ 1 ตุลาคม 2564 เป็นต้นไป
ตามโครงสร้าง "ขึ้นภาษีบุหรี่" ใหม่ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เบื้องต้นมีการปรับเพิ่มขึ้นตามมูลค่าและปริมาณ
มีผลให้ราคาจำหน่ายบุหรี่ปรับขึ้น เช่น เดิมซองละ 60 บาท ซึ่งปัจจุบันเสียภาษีอัตราตามมูลค่า 20% รวมทั้งการเก็บตามปริมาณที่มวนละ1.20 บาท แต่โครงสร้างภาษีใหม่จะปรับเพิ่มขึ้นมากกว่า 20% แต่ไม่ถึง 40%
ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างภาษีบุหรี่ใหม่ หรือ "ขึ้นภาษีบุหรี่" จะเป็นการแก้ปัญหาและอุปสรรคต่าง ๆ ที่เคยเกิดในอดีต และตอบโจทย์ใน 4 เรื่องหลัก คือ
1.ด้านสาธารณสุข 2.ด้านเกษตรกรผู้ปลูกใบยาสูบจะต้องได้รับผลกระทบน้อยที่สุด 3. ด้านรายได้ของรัฐบาลจะต้องไม่ลดลง และ 4. ด้านการดูแลบริหารจัดการบุหรี่เถื่อนและบุหรี่ปลอม
ภายใต้โจทย์ทั้ง 4 เรื่องนี้ โครงสร้างภาษีใหม่อาจจะไม่ใช่สิ่งที่กลุ่มผู้ค้าบุหรี่บางกลุ่มต้องการ เพราะว่ามีข้อเสนอที่สุดโต่ง แต่โดยภาพรวมภาระภาษีจะปรับเพิ่มขึ้น เพราะภาษีใหม่ต้องตอบโจทย์ทั้ง 4 เรื่องหลักดังกล่าว
อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง