ข่าว

เปิดบทสรุป 'วิชา' สอบ'คดีบอส อยู่วิทยา ' ผิดกว่า10คน ซัด ทฤษฎีสมคบคิดทำสำนวน"สมยอมไม่สุจริต"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

เปิดบทสรุป 'วิชา' สอบคดี 'บอส อยู่วิทยา' ผิดกว่า10 คน แนะเริ่มใหม่ในคดีที่ยังไม่ขาดอายุความ ซัด ทฤษฎีสมคบคิดทำสำนวนสมยอมไม่สุจริต

1 ก.ย.63 นายวิชา มหาคุณ  ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน แถลงบทสรุป ผลการตรวจสอบ คดีของนายวรยุทธ อยู่วิทยา หรือ บอส ขับรถชนตำรวจเสียชีวิตเมื่อปี 2555  พบมีความบกพร่องตั้งแต่การทำสำนวน  เสนอต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ให้ถูกต้องในข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความ โดยเฉพาะข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ นอกจากนี้ ยังพบว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจและ อัยการฯ ผิดกว่า 10 คน  มีรายละเอียด ของรายการดังนี้  

รายงานผลการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายของคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

คณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย กรณีคำสั่งไม่ฟ้องคดีอาญาที่อยู่ในความสนใจของประชาชน (ซึ่งต่อไปนี้เรียกว่า "คณะกรรมการ") ได้ดำเนินการตรวจสอบข้อเท็จจริงและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินคดีอาญากับนายวรยุทธ อยู่วิทยา (ซึ่งต่อไปนี้เรียกว่า "ผู้ต้องหา")แล้ว พบว่า มีการร่วมมือกันอย่งเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยาน และบุคคลทั่วไป ในการเข้าแทรกแชงกระบวนการยุติธรรมมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงเริ่มต้นของการดำเนินคดีจนถึงปัจจุบัน โดยใช้ช่องโหว่ของกฎหมาย ใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ ใช้อิทธิพลบังคับ และการสร้างพยานหลักฐานอันเป็นเท็จ เพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย ในชั้นการสอบสวน จากหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ที่แสดงปริมาณแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดและบ่งชี้สารเสพติดในร่างกาย รายงานการตรวจพิสูจน์หลักฐานเกี่ยวกับความเร็วของรถในขณะเกิดเหตุ ตลอดจนความพยายามอย่างต่อเนื่องในการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีตามกฎหมาย คณะกรรการเชื่อว่าผู้ต้องหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ดาบตำรวจ วิเชียร  กลั่นประเสริฐ ผู้บังคับหมู่งานปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ถึงแก่ความตาย เมื่อวันที่ ๓ กันยายน ๒๕๕ การที่ผู้ต้องหาไม่หยุดรถในทันทีหลังจากชนผู้ตาย แต่กลับพาร่างผู้ตายไปไกลกว่าหกสิบเมตรและลากรถจักรยานยนต์ของผู้ตายไปไกลกว่าหนึ่งร้อยหกสิบเมตร ทำให้เกิด
ข้อสงสัยว่าผู้ต้องหาจะกระทำความผิดฐานฆ่าผู้ตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล เพราะวิสัยวิญญูชนเมื่อขับรถชนคนหรือสิ่งใดแล้วย่อมต้องหยุดรถทันทีเพื่อตรวจสอบความเสียหายหรือให้ความช่วยเหลือ แต่ผู้ต้องหาหาทำเช่นนั้นไม่

ความพยายามในการช่วยเหลือผู้ต้องหาให้รอดพ้นจากการถูกดำเนินคดีเกิดขึ้นทันทีภายหลังจากเกิดเหตุ โดยสารวัตรปราบปราม สถานีตำรวจนครบาลทองหล่อ ได้สร้างพยานหลักฐานเท็จโดยการนำตัวลูกจ้างของครอบครัวอยู่วิทยามามอบตัวรับสมอ้างว่าเป็นผู้ขับรถ แม้ต่อมาในวันเดียวกันผู้ต้องหายอมจำนนมามอบตัวต่อพนักงานสอบสวนกลับให้การภาคเสธ โดยอ้างว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความผิดของผู้ตาย และผู้ต้องหาเพิ่งดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ภายหลังจากเกิดเหตุการณ์แล้ว ข้ออ้างอันเป็นเท็จนี้เป็นเหตุให้พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาอันเป็นเท็จและไม่ชอบด้วยกฎหมายต่อผู้ตายซึ่งตายในทันทีหลังจากถูกชนว่า เป็นผู้ต้องหาร่วม ทั้งที่การตั้งข้อหาจะกระทำได้ก็ต่อเมื่อบุคคลมีชีวิตอยู่และได้แจ้งข้อหาให้แก่ผู้นั้น อันนำเชื่อว่าการตั้งข้อหาอันเป็นเท็จและไม่ชอบด้วยกฎหมายนี้เกิดจากกรวางแผนของพนักงานสอบสวนและทีมทนายความของผู้ต้องหา โดยกล่าวหาผู้ตายว่าประมาทด้วยเพื่อทำให้รูปคดีเอื้อประโยชน์ต่อการช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาพ้นผิดแม้ว่าในเวลาต่อมา พนักงานสอบสวนตั้งข้อหาผู้ต้องหาจำนวน ๕ ข้อหา ได้แก่ ข้อหาขับรถ ขณะมึนเมาสุรส ข้อหาขับรถเร็วเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ข้อหาขับรถโดยประมาททำให้ทรัพย์สินของผู้อื่นเสียหาย ข้อหาขับรถแล้วไม่หยุดให้ความช่วยเหลือและไม่แจ้งเจ้าพนักงาน ข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย แต่กลับไม่ตั้งข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ ทั้งที่มีการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์พบสารแปลกปลอมในร่างกายของผู้ต้องหาที่เชื่อมโยงกับการเสพโคเคนและการดื่มแอลกอฮอล์ 

นอกจากนี้ ในข้อหาขับรถขณะเมาสุรพนักงานสอบสวนก็ได้รับฟังความเห็นของพยานฝ่ายผู้ต้องหาซึ่งขัดแย้งกับผลการตรวจทางนิติวิทยาศาสตร์มาเป็นเหตุผลในการสั่งไม่ฟ้องคดี พฤติกรณ์ดังกล่าวนี้น่าเชื่อว่าเป็นความพยายามในการช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ศาลพิพากษาลงโทษจำคุกโดยไม่รอลงอาญา และทำให้รูปคดีเอื้อประโยชน์ต่อการช่วยเหลือให้ผู้ต้องหาพ้นผิดในคดีนี้ ได้มีการสอบสวนคดีจนเสร็จสิ้นและมีความเห็นทางคดีในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๖และได้ส่งสำนวนการสอบสวนพร้อมตัวผู้ต้องหาให้กับพนักงานอัยการในวันที่ ๔ มีนาคม ๒๕๕๖ จึงเป็นการส่งสำนวนการสอบสวนที่ล่าช้าเกินกำหนดหกเดือนนับแต่วันที่ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวโดยไม่มีการนำตัวผู้ต้องหาไปฝากขังต่อศาลก่อนครบกำหนดปล่อยตัวชั่วคราวในชั้นการพิจรณาของพนักงานอัยการ คณะกรรมการพบว่า ระบบการร้องขอความเป็นธรรมภายใต้ระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการ๕๔๗ เปิดช่องให้ฝ่ายผู้ต้องหาใช้เป็นเครื่องมือในการประวิงคดีโดยผู้ต้องหาไม่ต้องยี่นด้วยตนเองและทำให้คดีขาดอายุความ รวมทั้งเปิดโอกาสให้พนักงานอัยการพิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมจากต้องหาได้อย่างไม่มีข้อจำกัดในเหตุและจำนวนครั้ง ทั้งยังอนุญาตให้มีการกลับความเห็นหรือคำสั่งฟ้องในคดีอาญาซึ่งสั่งไปแล้วได้ในคดีนี้ การร้องขอความเป็นธรรมตามระเบียบดังกล่าวจึงถูกใช้เป็นกลไกในการประวิงคดีและเพื่อช่วยเหลือผู้ต้องหาให้ต้องรับโทษตมกฎหมายโดยความร่วมมือของผู้ต้องหา ทีมทนายความเจ้าหน้ที่ของรัฐ และบุคคลทั่วไป

โดยปรากฏว่า มีการยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการเป็นจำนวน ถึง ๑๔  ครั้ง ครั้งแรกเมื่อวันที่ เมษายน ๒๕๕๖ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๕๖  ครั้งที่สาม เมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๕๖ ครั้งที่สี่เมื่อวันที่ ๒๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๗ ครั้งที่ห้าเมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๕๗  ครั้งที่หกเมื่อวันที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๗ ครั้งที่เจ็ดเมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๕๕๗ ครั้งที่แปดเมื่อวันที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘ ครั้งที่เก้าเมื่อวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๕๙ ครั้งที่สิบเมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๙ ครั้งที่สิบเอ็ดเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๕๕๙ ครั้งที่สิบสองเมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๐ ครั้งที่สิบสามเมื่อวันที่ ๑๙กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ และครั้งที่สิบสี่เมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ โดยตั้งแต่ครั้งแรกถึงครั้งที่สิบสาม อัยการสูงสุดหรือรองอัยการสูงสุดที่มีอำนาจสั่งคดีร้องขอความเป็นรรมในแต่ละครั้งได้สั่งยุติการร้องขอความเป็นธรรม
 

หลังจากที่ได้มีการสั่งให้มีการสอบสวนเพิ่มเติม และได้มีการดำเนินการสอบสวนและชั่งน้ำหนักพยานหลักฐานอย่างรอบคอบ การร้องขอความเป็นรรรมกลับเป็นผลสำเร็จในการร้องขอครั้งที่สิบสี่จากการพิจารณาเพียพยานหลักฐานเดิมที่ได้คยมีการพิจารณาไปแล้วและเห็นว่มีพิรุธและไม่นำเชื่อถือในการพิจารณาการร้องขอความนธรรมในหลายครั้งก่อนหน้า โดยเฉพาะอัยการสูงสุด รวมถึงรองอัยการสูงสุดหลายคน ได้พิจารณาพยานหลักฐานชุดนี้แล้ว แสะมีคำสั่งให้ยุติเรื่องไปก่อนหน้านั้นหลายครั้งหลายครา

การร่วมมือกันอย่างเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหนทาการเมือง ทนายความ พยาน และบุคคลทั่วไปในการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมในคดีนี้ ปรากฎหลักฐานอย่างชัดเจนว่ มีบุคคลจำนวนหนึ่งได้ร่วมกันจัตให้รองศาสตราจารย์ ส.ได้พบกับพันตำรวจโท ธ. เพื่อนำเสนอวิธีกรคำนวณความเร็วใหม่และมีการสอบปากคำพันตำรวจโท ธ. ภายใต้การกำกับขอพนักงานอัยการไม่ทราบชื่อเพื่อจัดทำพยานหลักฐานเท็จ โดยแก้ไขวันที่สอบปากคำให้ เป็นวันที่ ๒๖ กุมภาพันร์ ๒๕๕๘ และวันที่ ๒ มีนาคม ๒๕๕๘ สำหรับใช้ในการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการและต่อคณะกรรมาธิการในเวลาต่อมา โดยการกดดันหรือใช้อิทธิพลบังคับให้พันตำรวจโท ธ. ให้การเปลี่ยนความเห็นในเรื่องความเร็วของรถผู้ต้องหาในขณะที่ชนผู้ตายจาก ๑๗๗ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตามที่ปรากฏในรายงานการพิสูจน์หลักฐานครั้งแรกเป็นความเร็วที่ไม่เกิน ๘๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง เพื่อให้สอดคล้องกับผลการคำนวณความเร็วรถของรองศาสตราจารย์ ส. ซึ่งได้มีการตระเตรียมกันไว้ล่วงหน้า โดยไม่ให้โอกาสพันตำรวจโท ธ. ตรวจสอบวิธีการคำนวณความเร็วรถของรองศาสตราจารย์ ส. อย่างรอบคอบ แม้ว่าในเวลาต่อมาพันตำรวจโท ธ. จะพยายามขอยกเลิกคำให้การภายหลังจากที่ได้ทำการตรวจสอบอย่างรอบคอบจนพบความผิดพลาดของวิธีการคำนวณความเร็วรถของรองศาสตราจารย์ ส. แต่ได้รับการปฏิเสธจากพันตำรวจโท ว. โดยอ้างว่าพนักงานสอบสวนส่งสำนวนคดีให้พนักงานอัยการพิจรณาแล้ว อนึ่ง การลงวันที่อันเป็นเท็จดังกล่าวนำเชื่อว่าเป็นไปเพื่อกันบุคคลบางคนให้ออกจากเรื่องนี้ และเพื่อให้การคำนวณความเร็วรถใหม่ใช้เวลาตามควรเพื่อให้นเชื่อถือ การร่วมมือระหว่างทนายความ ผู้ต้องหา ตำวจชั้นผู้ใหญ่ พนักงานสอบสวน และพนักงานอัยการดังกล่าว ย่อมทำให้การสอบสวนเป็นการสอสวนที่ไม่สุจริตและไม่ชอบด้วยกฎหมายอย่างชัดแจ้ง

อย่างไรก็ตาม ความพยายามในการใช้พยานหลักฐานเท็จในการร้องขอความเป็นธรรมยังไม่ประสบความสำเร็จ ผู้ต้องหา ทีมทนายความ และกลุ่มบุคคลที่มีส่วนร่วมในการให้ความช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษ ได้ใช้อิทธิพลทางการเมืองกดดันกระบวนการยุติธรรม โดยการร้องขอความเป็นธรรมเมื่อวันที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๕๙ กับคณะกรรมาธิการที่ประกอบด้วยข้าราชการ ทหาร ตำรวจระดับสูงเจ้าหน้าที่รัฐระดับสูงในกระบวนการยุติธรม โดยเมื่อวันที่ ๑๖ ธันวาคม ๒๕๕๙ กรรมาธิการบางคนได้ให้ความเห็นและอ้างพยานหลักฐานเท็จเกี่ยวกับความเร็วรถของผู้ต้องหาที่ตนมีส่วนจัดให้มีการจัดทำขึ้นเพื่อสนับสนุนการร้องขอความเป็นธรรมให้กับผู้ต้องหา ความพยายามนี้สอดรับกับแนวทางการทำงานและผลสรุปของคณะทำงานที่จัดตั้งขึ้นโดยคณะกรรมาธิการเพื่อพิจารณการร้องขอความเป็นธรรมและมีกรรมาธิการบางคนเป็นประธานคณะทำงาน แม้ว่ากรรมาธิการหลายคนไม่ประสงค์ให้คณะกรรมาธิการดำเนินการในลักษณะที่ก้าวก่ายการปฏิบัติหน้ที่และใช้ดุลพินิจของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรมก็ตามแต่กรรมาธิการผู้นั้นได้ไปเป็นพยานและให้ปากคำสนับสนุนข้ออ้างของผู้ต้องหาในการสอบสวนเพิ่มเติมต่อพนักงานสอบสวน เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๖๑ ด้วย


แม้ว่าการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการจะไม่ประสบความสำเร็จในช่วง ๑๓ ครั้งแรก ฝ้ายผู้ต้องหาก็ยังไม่ลดละความพยายามในการร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการโดยใช้พยานหลักฐานเท็จอีก โดยเมื่อวันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๖๒ ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากผู้ต้องหาได้ยื่นร้องขอความเป็นธรรมต่ออัยการสูงสุด ขอให้สอบปากคำเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. หรือนาย จ. ในประเด็นความเร็วของรถในขณะที่ผู้ต้องหาขับขี่รถยนต์ว่าขับขี่ด้วยความเร็วเท่าใดและในประเด็นอื่นที่เกี่ยวข้องในการพิจารณาร้องขอความป็นธรรมโดยพนักงานอัยการตามลำดับชั้นนั้น อัยการอาวุโส สำนักงานอัยการพิเศษฝ้ายคดีร้องขอความเป็นธรรม ๒ ทำความเห็นให้มีการสอบเพิ่มเติม พลอากาศโท จ. นาย จ.  พันตำรวจโท ธ. รองศาสตราจารย์ ส. รวมทั้งให้พิจารณารายงานการประชุมคณะกรรมาธิการครั้งที่ ๔๗/๕๙ ในขณะที่อัยกรผู้เชี่ยวชาญพิศษ สำนักงานกิจการอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการในหน้าที่อัยการพิเศษฝ่ายคดีร้องขอความเป็นธรรม ๒ ทำความเห็นให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรม เนื่องจากเห็นว่าพยานหลักฐานที่ผู้ร้องขอความป็นธรรมเสนอไม่ใช่พยานหลักฐานใหม่อันสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงความเห็นและคำสั่งเดิมได้ ประกอบกับการที่ผู้ต้องหาเคยร้องขอความเป็นธรรมเข้ามาหลายครั้งอาจเชื่อได้ว่าเป็นการประวิงคดี และผู้ต้องหาซึ่งอยู่ระหว่างการหลบหนีคดีมิได้มาร้องขอความเป็นธรรมด้วยตัวเองความเห็นนี้ได้รับการสนับสนุนโดยอัยการพิเศษฝ่าย สำนักงานคดีเยาวชนและครอบครัว รักษาการในตำแหน่งรองอธิบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด อย่างไรก็ตาม รองอธิบดีอัยการสำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด รักษาการในตำแหน่งอธิการบดีอัยการ สำนักงานคดีกิจการอัยการสูงสุด กลับมีความเห็นคล้อยตามกับความเห็นของอัยการผู้ทำความเห็นชั้นตันนาย น. อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีศาลสูง รักษาการในตำแหน่งรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด มีความห็นเมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๒ ให้มีการสอบพยานเพิ่มเติมโดยเจาะจงให้มีการสอบเพิ่มเติมเฉพาะพลอากาศโท จ. และนาย จ. เท่านั้น ซึ่งพยานทั้งสองปากนี้เคยถูกสอบไปแล้วในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งก่อนหน้า โดยที่ผู้พิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมในแต่ละครั้งอันได้แก่รองอัยการสูงสุดหรืออัยการสูงสุดได้เคยพิจรณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นพยานหลักฐานที่มีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ ภายหลังที่อธิบดีอัยการ สำนักงานคดีอญากรุงเทพใต้ ได้มีการสั่งให้พนักงานสอบสวนทำการสอบปากคำเพิ่มตามคำสั่งของนาย น และนาย น. ในฐานะรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดมีคำสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในข้อหาขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งเป็นข้อหาเดียวที่เหลืออยู่
เมื่อวันที่ ๒๐ มกราคม ๒๕๖๓

คณะกรรมการเห็นว่า การใช้อำนาจในการสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรม และต่อมาการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาในคดีอาญาของนาย น. ในฐนะรองอัยการสูงสุด ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุด เป็นการใช้อำนาจและดุลพินิจที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและน่าเชื่อว่ามีเจตนาช่วยเหลือผู้ต้องหามิให้ต้องรับโทษ เพราะเหตุของการเจาะจงให้มีการสอบเพิ่มเติมและรับฟังเฉพาะพลอากาศโท จ. และนาย จ. ซึ่งเป็นพยานเคยถูกสอบไปแล้วในการร้องขอความเป็นธรรมหลายครั้งก่อนหน้า มิใช่พยานหลักฐานใหม่แต่อย่างใด นอกจากนั้น ผู้พิจารณาการร้องขอความเป็นธรรมในแต่ละครั้งอันได้แก่ รองอัยการสูงสุดหรืออัยการสูงสุดได้เคยพิจารณาอย่างรอบคอบแล้วว่าเป็นพยานหลักฐานที่มีพิรุธและไม่น่าเชื่อถือ และนาย น. เชื่อคำพยานพลอกาศโท จ, เพียงเพราะเป็นข้าราชการระดับสูง แต่กลับไม่เชื่อเหตุผลและดุลพินิจของอดีตอัยกรสูงสุดและรองอัยการสูงสุดที่สั่งให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมในทุกครั้งก่อนหน้า อีกทั้งไม่นำพาต่อความเห็นและหตุผลของพนักงานอัยการผู้ทำความเห็นชั้นตันที่เสนอให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมที่สอดคล้องกับเหตุผลการยุติความเป็นธรรมทั้งสิบสามครั้งก่อนหน้า การใช้อำนาจสั่งไม่ฟ้องของนาย น. จึงอยู่บนพยานหลักฐานเก่าที่ได้มีการพิจารณามาแล้วหลายครั้ง เป็นการกลับดุลพินิจอันเป็นความเห็นของอดีตผู้บังคับบัญชาและอดีตรองอัยการสูงสุดซึ่งทำหน้าที่มาก่อนตนโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร ดังนัย คำพิพากษาศาลฎีกที่ ๓๕๐๙/๒๕๔๙ ซึ่งวินิจฉัยว่า การใช้ดุลพินิจของพนักงานอัยการต้องอยู่บนรากฐานและอยู่ในกรอบของความสมหตุสมผล ถึงแม้ว่าพนักงานอัยการจะมีอิสระในการใช้ดุลพินิจเพื่อใช้ในการชั่งน้ำหนักพยานหลักฐาน กลั่นกรองคดี แต่ย่อมเป็นความมีอิสระที่มีกรอบของความชอบด้วยกฎหมายและขอบเขตของความสมเหตุสมผล เป็นเหตุผลที่สามารถชี้แจงได้

นอกจากนี้ แม้นาย น. จะได้รับมอบอำนาจจากอัยการสูงสุดให้ปฏิบัติราชการแทนอัยการสูงสุดในการสั่งคดีร้องขอความเป็นธรรม แต่ตมมาตร ด๙ และมาตรา ๒๐ แห่งพระราชบัญญัติองค์กรอัยการและพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๓ และข้อ ของระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการรักษาราชการแทน การปฏิบัติราชการแทน การรักษาการแทนในตำแหน่งของพนักงานอัยการ พ.ศ. ๒๕๕๔ อัยการสูงสุดในฐนะผู้มอบอำนาจจะต้องกำกับ ติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ และให้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจได้ แม้อัยการสูงสุดจะอ้างว่าการมอบอำนาจให้นาย น. เป็นการมอบอำนาจขาด และได้ทราบเรื่องการสั่งไม่ฟ้องคดีของนาย น. จากการรายงานของสื่อมวลชน แต่อัยการสูงสุดในฐานะผู้มอบอำนาจไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบต่อความบกพร่องในการกำกับการปฏิบัติหน้าที่ของนาย น. รองอัยการสูงสุดผู้รับมอบอำนาจได้ การอ้างความไม่รู้ไม่เป็นข้อแก้ตัวและไม่น่าเชื่อถือ เหตุเพระการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาอยู่ในความสนใจของประชาชนมาอย่างต่อเนื่องยาวนานและมีการร้องขอความเป็นธรรมมาแล้วถึง ๑๔ ครั้ง และในการพิจรณาการร้องขอความเป็นธรรมครั้งที่ ๑๒เมื่อวันที่ ๖ มีนาคม ๒๕๖๐ อัยการสูงสุดในขณะนั้นได้เรียกสำนวนคดีร้องขอความเป็นธรรมและสำนวนคดีอาญามาพิจารณาสั่งการด้วยตนเองเพราะห็นว่าคดีอยู่ในความสนใจของสาธารณชนและการพิจารณาอาจจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นของสังคมที่มีต่อองค์กร โดยมีคำสั่งให้ยุติการร้องขอความเป็นธรรมในท้ายที่สุดคณะกรรมการเห็นว่า การปฏิบัติหน้าที่ของผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ปฏิบัติราชการแทนผู้บัญชาการตำวจแห่ชาติในการสั่งไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการมีความบกพร่อง เนื่องจากไม่พิจรณาคำสั่งไม่ฟ้องของนาย น. ด้วยความรอบคอบ การอ้างว่าการออกคำสั่งเกิดจากการพิจารณาสั่งการตามความเห็นของเจ้าพนักงานตำรวจตามลำดับชั้นและเข้าใจว่าเป็นการสั่งคดีความผิดเกี่ยวกับจราจรรรรมดาทั่วไปนั้น เป็นข้ออ้างที่คณะกรมการเห็นว่าฟังไม่ขึ้น ในขณะที่ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติก็ไม่อาจปฏิเสธความรับผิดชอบในฐนะผู้มอบอำนาจ ซึ่งมีหน้าที่ต้องกำกับ ติดตามผลการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจและให้มีอำนาจแนะนำและแก้ไขการปฏิบัติราชการของผู้รับมอบอำนาจ ตามมาตรา ๗๔ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๗ การมอบอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติโดยมิได้มีการกำกับดูแลติดตามผลการปฏิบัติรชการในคดีที่อยู่ในความสนใจของประชาชนเช่นนี้ เป็นความบกพร่องที่ทำให้เกิดผลเสียหายแก่การบริหารราชการแผ่นดิน และกระทบต่อความศรัทธาขององค์กร

อนึ่ง เมื่อมีการออกหมายจับผู้ต้องหา ผู้บังคับการกองการต่างประเทศได้แจ้งให้ตำรวจสากลทราบถึงหมายจับผู้ต้องหาเพื่อนำตัวต้องหามาดำเนินคดี แต่ปรากฎว่าหลังจากการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวนั้นบุคคลดังกล่าวได้ถูกย้ายไปดำรงตำแหน่งผู้บังคับการ ประจำกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค ๓ น่าเชื่อว่าเป็นการโยกย้ายที่มีความไม่ปกติอันสืบเนื่องมาจากการปฏิบัติหน้าที่โดยถูกต้องในคดีนี้ คณะกรรมการพบว่า ทนายความของผู้ต้องหามีส่วนสำคัญในการทำให้เกิดผลของการสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหา โดยได้ไปพบกับ รองศาสตราจารย์  ส. พร้อมกับนาย ช. เพื่อขอให้มีการคำนวณความเร็วรถของผู้ต้องหาใหม่ และยังได้อยู่ร่วมในการจัดให้มีการสอบปากคำพันตำรวจโท ธ.เพื่อเปลี่ยนคำให้การเรื่องความเร็วรถด้วย หลังจากนั้ ทนายความของผู้ต้องหาได้รับมอบอำนาจเพื่อร้องขอความเป็นธรรมต่อพนักงานอัยการและคณะกรรมาธิการเรื่อยมา จนกระทั่งนาย น. มีคำสั่งไม่ฟ้องคดีผู้ต้องหาในการร้องขอความเป็นธรรมครั้งสุดท้าย  สำหรับนาย จ. ซึ่งเป็นพยานปากสำคัญที่ได้ให้การว่า ผู้ต้องหาขับรถด้วยความเร็วโดยประมาณ ๕๐ ถึง ๖๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมงนั้น คณะกรรมการพบว่า ได้รับการอุปการะจากนาย ช.นอกจากนี้ หลังจากที่นาย จ. ถึงแก่ความตายอย่างกระทันหันภายหลังที่ได้มีชื่อปรากฎในข่าว พบว่าโทรศัพท์มือถือของนาย จ. ถูกทำลาย  จากข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานทั้งปวง คณะกรรมการเห็นว่า การตั้งข้อหา การสอบสวนการร้องขอความเป็นธรรม การกลับคำสั่งฟ้องเป็นสั่งไม่ฟ้อง การไม่แย้งคำสั่งไม่ฟ้องของพนักงานอัยการเป็นขบวนการดำเนินคดีที่เชื่อได้ว่ามีการร่วมมือสมคบคิดกันอย่างเป็นระบบของเจ้าพนักงานในกระบวนการยุติธรรม เจ้าหน้าที่ของรัฐ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ทนายความ พยาน และบุคคลทั่วไป รวมทั้งมีการสมยอมกันโดยไม่สุจริตเพื่อหวังผลเพียงให้ผู้ต้องหาหลุดพันจากความรับผิดในทางอาญาทั้งในชั้นพนักงานสอบสวนและในชั้นพนักงานอัยการ กระบวนการทั้งสิ้นนี้จึงมิชอบด้วยกฎหมาย ทั้งนี้ เป็นไปตามแนวคำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๖๔๖-๖ส๗/๒๕ด คำพิพากษาศาลฎีกา ที่ ๖๔๕๖/๒๕๘๗ และคำพิพากษาศาลฎีกาที่ ๙๓๓๔/๒๕๓๘ ที่ได้วินิจฉัยเป็นบรรทัดฐานแล้ว คณะกรรมการจึงมีข้อเสนอ ดังต่อไปนี้
๑. ต้องเริ่มกระบวนการสอบสวนใหม่ให้ถูกต้องในข้อหาที่ยังไม่ขาดอายุความ โดยเฉพาะข้อหาเสพยาเสพติดให้โทษ ข้อหาขับขี่รถในขณะเมาสุราและเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ข้อหากระทำโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
๒. จะต้องการดำเนินการทางวินัยและทางอาญาต่อเจ้าหน้าที่ของรัฐและบุคคลอื่นที่ร่วมในขบวนการนี้ กล่าวคือ
๒.๑ พนักงานสอบสวนซึ่งเกี่ยวข้องกับสำนวน
๒.๒ พนักงานอัยการซึ่งปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ
๒.ต ผู้บังคับบัญชาซึ่งแทรกแซงการปฏิบัติหน้าที่
๒.๔ สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐซึ่งแทรกแขงการปฏิบัติหน้าที่
๒.๕ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองงแทรกแงการปฏิบัติหน้าที่
๒.๖ ทนายความซึ่งกระทำผิดกฎหมาย
๒.๗ พยานซึ่งให้การเป็นเท็จ
๒.๘ ตัวการ ผู้ใช้ และผู้สนับสนุนในการกระทำผิดกฎหมายดังกล่าว

ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นว่า พันตำรวจเอก ธ., และรองศาสตราจารย์ ส. ได้สมัครใจให้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์โดยเฉพาะพยานหลักฐนทางนิติวิทยศาสตร์ จึงสมควรกันไว้เป็นพยาน และให้ความคุ้มครองพยานในการดำเนินคดีอาญาแก่บุคคลตามข้อ ๒.๑ ถึง ๒.๘
๓. จะต้องมีการดำเนินการทางจริยธรรม จรรยาบรรณ มรรยาท โดยหน่วยงานหรือองค์กรวิชาชีพที่เกี่ยวข้องต่อบุคคลดังกล่าวตามข้อ ๒.๑ ถึง ๒.๘ อย่างจริงจังและเปิดเผยให้สาธารณชนทราบเป็นการทั่วไป เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง
๔. สมควรกำหนดหลักเกณฑ์ให้ผู้บังคับบัญชาผู้มอบอำนาจต้องกำกับ ดูแล แก้ไข เปลี่ยนแปลง การปฏิบัติหน้าที่ของผู้รับมอบอำนาจให้ถูกต้องตามกฎหมายและจริยธรรม หากผู้บังคับบัญชาละเลยให้ถือว่าเป็นผู้บกพร่องต่อหน้าที่
๕. เนื่องจากคณะกรรมการจะพิจารณาเรื่องการปฏิรูปกระบวนการยุติธรรมโดยละเอียดในชั้นนี้ คณะกรรมการเห็นว่าสมควรเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมาย และระเบียบในประเด็นอย่างเร่งด่วน
๕.๑ แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบสำนักงานอัยการสูงสุด ว่าด้วยการดำเนินคดีอาญาของพนักงานอัยการฯ ในเรื่องการร้องขอความเป็นธรรม โดยกำหนดให้การร้องขอความเป็นธรรม ผู้เสียหายหรือผู้ต้องหาต้องมาร้องด้วยตนเอง การร้องขอความเป็นธรรมจะต้องระบุเหตุและพยานหลักฐานให้ครบถ้วนการร้องขอความเป็นธรมเกินกว่าหนึ่ครั้งจะกระทำได้ต่อเมื่อมีพยานหลักฐานใหม่ที่ไม่เคยนำเสนอมาก่อน
๕.๒ แก้ไขเพิ่มเติมระเบียบคณะกรรมการอัยการ ว่าด้วยการมอบอำนาจ โดยกำหนดให้การมอบอำนาจให้รองอัยการสูงสุดพิจรณาเรื่องขอความเป็นธรรมและการมอบอำนาจในการสั่งไม่ฟ้องต้องเป็นการมอบให้แก่รองอัยการสูงสุดต่างคนกัน และไม่ว่าจะสั่งยุติเรื่องหรือสั่งให้ความเป็นธรรมตามการร้องขออธิบดีอัยการหรือรองอัยการสูงสุดผู้มีอำนาจต้องรายงานให้อัยการสูงสุดทราบทุกกรณี
๕.๓ วางระเบียบในการมอบอำนาจของผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้เป็นไป ตามมาตรา ๗ แห่งพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติฯ และในกรณีที่สั่งไม่ฟ้องตามความเห็นของพนักงานอัยการ ให้รายงานต่อผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติทราบทุกครั้ง
๕.๔ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญาในเรื่องอายุความ ในทำนองเดียวกับพระราชบัญติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยวิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพ.ศ. ๒๕๖๐ กล่าวคือ ถ้าผู้ต้องหาหลบหนีในระหว่างถูกดำเนินคดีอาญา และให้ฟ้องคดีโดยไม่ต้องมีตัวผู้ต้องหาได้และมีให้นับระยะเวลาที่ผู้ต้องหาหรือจำเลยหลบหนีรวมเป็นส่วนหนึ่งของอายุความ


อนึ่ง เนื่องจากการดำเนินการของคณะกรรมการมีระยะเวลาที่จำกัด ประกอบกับ มีพยานหลักฐานซึ่งเป็นพยานบุคคลและพยานเอกสารเป็นจำนวนมาก จึงเห็นควรที่จะเสนอนายกรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการให้ส่งเรื่องนี้ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาทิ คณะกรรมการ ป.ป.ช.คณะกรรมการ ป.ป.ท.คณะกรรมการ ป.ป.ง คณะกรรมการอัยกร คณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ สภาทนายความ เพื่อให้ดำเนินการตามหน้าที่และอำนจต่อไป กับเห็นสมควรดำเนินการให้คดีอาญาในเรื่องนี้เป็นคดีพิเศษตาม กฎหมายว่าด้วยการสอบสวนคดีพิเศษ
 

logoline

ข่าวที่น่าสนใจ