ข่าว

5 คำถามที่สหรัฐฯ ควรมีคำอธิบายให้คนทั้งโลกเกี่ยวกับ "โรคโควิด-19"

เกาะติดข่าวสาร >> คมชัดลึก ออนไลน์
logoline

5 คำถามที่สหรัฐฯ ควรมีคำอธิบายให้คนทั้งโลกเกี่ยวกับ "โรคโควิด-19"

สหรัฐฯ ตรวจพบผู้ป่วยโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) เกิน 1 ล้านคนในเวลาเพียงประมาณ 100 วัน หลังประกาศพบผู้ป่วยรายแรกเมื่อวันที่ 21 ม.ค. และกลายเป็นศูนย์กลางแห่งใหม่ของการแพร่ระบาดทั่วโลก เมื่อเผชิญกับกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในประเทศ นักการเมืองสหรัฐฯ บางคนได้เริ่มโจมตีประเทศบางแห่ง รวมถึงองค์การอนามัยโลก (WHO) อย่างไร้ความรับผิดชอบ ซึ่งเป็นการขัดขวางการต่อกรกับโรคโควิด-19 บนเวทีโลก การกระทำเช่นนี้ทำให้เกิดคำถามมากมายกับผู้คนทั่วโลก และสหรัฐฯ ควรให้คำตอบอย่างชัดเจน
 
 
 
 
 
 
คำถามที่หนึ่ง : เชื้อไวรัสในสหรัฐฯ มีต้นกำเนิดมาจากไหน?
 
สื่อท้องถิ่นสหรัฐฯ รายงานช่วงปลายเดือนมีนาคมว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ (CDC) มีคำสั่งให้สถาบันวิจัยการแพทย์ด้านโรคติดต่อของกองทัพ ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางชีวภาพของกองทัพในรัฐแมรีแลนด์ กลับมาปฏิบัติการอีกครั้ง หลังศูนย์ฯ ได้สั่งให้สถาบันฯ ระงับการวิจัยกลุ่มเชื้อและสารพิษควบคุมทางชีวภาพบางชนิด (BSATs) เมื่อฤดูร้อนปี 2019
ต่อมามีการยื่นคำร้องออนไลน์บนเว็บไซต์ร้องเรียนของทำเนียบขาว เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงสาเหตุการปิดสถาบันดังกล่าว และจนถึงปัจจุบันสาธารณชนยังคงรอให้สหรัฐฯ ออกมาอธิบายว่าเหตุใดจึงสั่งระงับการวิจัย และอนุญาตให้กลับมาทำการวิจัยอีกครั้งอย่างกะทันหัน ศูนย์ฯ ได้เผยแพร่รายงานในเดือนกุมภาพันธ์ที่ระบุว่า มีผู้คนป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่อย่างน้อย 32 ล้านคนทั่วประเทศในช่วงฤดูกาลไข้หวัดใหญ่ของปี 2019-2020 เมื่อวันที่ 11 มี.ค. โรเบิร์ต เรดฟีลด์ (Robert Redfield) ผู้อำนวยการศูนย์ฯ ระบุว่าผู้เสียชีวิตด้วยโรคโควิด-19 บางรายในสหรัฐฯ ถูกวินิจฉัยว่าป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่ สหรัฐฯ จำเป็นต้องรายงานตัวเลขผู้ป่วยโรคโควิด-19 ทั้งหมดที่ถูกวินิจฉัยว่าเป็นไข้หวัดใหญ่ พร้อมเผยแพร่ตัวอย่าง และลำดับพันธุกรรมของเชื้อไวรัสไข้หวัดใหญ่ในประเทศต่อสาธารณะ

คำถามที่สอง : สหรัฐฯ มองข้ามการแพร่ระบาดในระยะแรกหรือไม่?
 
ช่วงปลายเดือนเมษายน หน่วยงานสาธารณสุขของเทศมณฑลแซนตา คลารา รัฐแคลิฟอร์เนียยืนยันว่ามีผู้ป่วยโรคโควิด-19 จำนวน 2 ราย ที่เสียชีวิตอย่างน้อย 3 สัปดาห์ก่อนการประกาศพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 รายแรกของสหรัฐฯ ในวันที่ 29 ก.พ. เจฟฟรีย์ วี. สมิธ (Jeffrey V. Smith) เจ้าหน้าที่ฝ่ายบริหารของเทศมณฑลแซนตา คลารา ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซินหัวว่า ผู้ป่วย 2 รายดังกล่าว “เห็นได้ชัดว่าติดเชื้อจากการแพร่ระบาดในชุมชน ซึ่งหมายความว่าเชื้อไวรัสอาจแพร่ระบาดในเขตเบย์ แอเรียมาตั้งแต่เดือนมกราคมเป็นอย่างน้อย หรืออาจเกิดการแพร่ระบาดตั้งแต่ก่อนหน้านั้น“
ลอสแอนเจลิส ไทมส์ (Los Angeles Times) รายงานคำกล่าวของ นีราจ ซูด (Neeraj Sood) ศาสตราจารย์สถาบันนโยบายสาธารณะ ไพรซ์ ของมหาวิทยาลัยเซาเทิร์น แคลิฟอร์เนียที่ระบุว่า เชื้อไวรัสแพร่ระบาดอยู่ในชุมชนสหรัฐฯ มาเป็นเวลานานแล้ว “ตอนที่คุณเริ่มเห็นรายงานพบผู้เสียชีวิตจากโรคโควิด-19 รายแรก แท้จริงตัวเลขผู้ติดเชื้อขณะนั้นในสหรัฐฯ อาจค่อนข้างสูงแล้ว“
สหรัฐฯ จำเป็นต้องตอบว่าได้มองข้ามการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในชุมชนหรือไม่
 
 
 
คำถามที่สาม : สหรัฐฯ ตอบโต้การแพร่ระบาดในระยะแรกล่าช้าเกินไปหรือไม่?
 
เดอะ วอชิงตัน โพสต์ (The Washington Post) รายงานเมื่อวันที่ 4 เม.ย. ว่า ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ “ทราบว่าเกิดการแพร่ระบาดเป็นกลุ่มก้อนในจีนเมื่อวันที่ 31 ธ.ค.” และเจ้าหน้าที่ของสหรัฐฯ ได้รับโทรศัพท์จากเจ้าหน้าที่ของจีนเมื่อวันที่ 3 ม.ค. เพื่อแจ้งเตือนเกี่ยวกับโรคโควิด-19 รายงานการรับมือกับโรคโควิด-19 ของจีนโดยละเอียดระบุไว้ว่า ในวันที่ 8 ม.ค. ผู้นำศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของจีนและสหรัฐฯ ได้สนทนาทางโทรศัพท์เพื่อหารือเกี่ยวกับการแลกเปลี่ยนและความร่วมมือทางเทคนิค ในวันที่ 16 ก.พ. ทีมผู้เชี่ยวชาญจีน–องค์การอนามัยโลกได้เริ่มลงพื้นที่ศึกษาสถานการณ์โรคโควิด-19 ในจีนเป็นเวลา 9 วัน โดยทีมดังกล่าวประกอบไปด้วยผู้เชี่ยวชาญ 25 คน ซึ่งรวมถึง คลิฟฟ์ เลน (Cliff Lane) นักวิจัยจากสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม ในช่วงเวลานั้นรัฐบาลสหรัฐฯ กลับแจ้งกับประชาชนหลายครั้งว่าการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ไม่มีความรุนแรงมากนัก โดยสื่อสหรัฐฯ รายงานว่ารัฐบาลสหรัฐฯ สูญเสียเวลากว่า 2 เดือนหลังได้รับแจ้งเตือนเกี่ยวกับเชื้อไวรัสไปโดยเปล่าประโยชน์ สหรัฐฯ ต้องอธิบายว่าเหตุใดจึงใช้เวลานาน กว่าจะหันมาปฏิบัติการรับมือกับโรคโควิด-19

คำถามที่สี่ : วิธีการรับมือโรคโควิด-19 ของสหรัฐฯ ทำให้ไวรัสยิ่งแพร่ระบาดในวงกว้างทั่วโลกหรือไม่?
เดอะ วอชิงตัน โพสต์ระบุว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติสหรัฐฯ ได้ผลักดันให้ออกข้อจำกัดการเดินทาง เพื่อห้ามไม่ให้ผู้คนที่มาจากอิตาลี และประเทศอื่นๆ ในสหภาพยุโรปเข้ามายังสหรัฐฯ แต่กลับได้รับการคัดค้านจากเจ้าหน้าที่บางคนในคณะรัฐบาลสหรัฐฯ จนกระทั่งกว่า 1 เดือนให้หลังที่รัฐบาลเริ่มบังคับใช้ข้อจำกัดดังกล่าว “ก็มีประชาชนจากยุโรปเดินทางมายังสหรัฐฯ แล้วหลายแสนคน“ รายงานซึ่งได้รับการเผยแพร่บน เดอะ นิวยอร์ก ไทมส์ (the New York Times) เมื่อวันที่ 11 เม.ย. เปิดเผยว่าแผนของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการตั้งระบบเฝ้าระวังเชื้อไวรัสในเมืองบางแห่ง เพื่อตรวจสอบสถานการณ์การแพร่ระบาดถูกเลื่อนออกไปหลายสัปดาห์ ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐ “แทบไม่มีข้อมูลว่าเชื้อดังกล่าวแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วแค่ไหน“
ในเดือนมีนาคม สกอตต์ มอร์ริสัน นายกรัฐมนตรีออสเตรเลียกล่าวว่าสหรัฐฯ เป็นต้นเหตุการติดเชื้อของผู้ป่วยโรคโควิด-19 ส่วนใหญ่ในออสเตรเลีย สหรัฐฯ ต้องตอบคำถามต่อความกังวลที่ว่า วิธีการรับมือกับโรคโควิด-19 ของสหรัฐฯ ที่ล่าช้าและวุ่นวายนั้นเป็นปัจจัยเร่งให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ในหลายพื้นที่ทั่วโลกหรือไม่

คำถามที่ห้า : เจตนาที่อยู่เบื้องหลังการโยนความผิดให้ผู้อื่นของสหรัฐฯ คืออะไร?
รัฐบาลสหรัฐฯ กล่าวหาว่าจีนไม่โปร่งใสด้านการให้ข้อมูลเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ซึ่งขัดกับข้อเท็จจริงศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคของสหรัฐฯ ระบุบนเว็บไซต์ของศูนย์ฯ ว่า เจ้าหน้าที่สาธารณสุขจีนรายงานการตรวจพบผู้มีอาการป่วยเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจระดับรุนแรงในกลุ่มคนที่มีความเกี่ยวข้องกับตลาดขายสัตว์และอาหารทะเลในนครอู่ฮั่น มณฑลหูเป่ย ทางตอนกลางของจีน เมื่อวันที่ 31 ธ.ค.รายงานการรับมือกับโรคโควิด-19 ของจีนโดยละเอียดเปิดเผยว่าตั้งแต่วันที่ 3 ม.ค. จีนได้เริ่มให้ข้อมูลแก่สหรัฐฯ เกี่ยวกับการแพร่ระบาด และมาตรการรับมือโรคโควิด-19 เมื่อวันที่ 24 ม.ค. โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โพสต์ข้อความลงบนแพลตฟอร์มทวิตเตอร์ว่าจีน “ทำงานอย่างหนักเพื่อควบคุมโรคโควิด-19″ และ “สหรัฐฯ ชื่นชมในความพยายาม และความโปร่งใสของจีนอย่างยิ่ง“ แอนโทนี เฟาซี (Anthony Fauci) ผู้อำนวยการสถาบันโรคภูมิแพ้และโรคติดต่อแห่งชาติของสหรัฐฯ กล่าวระหว่างการรายงานข่าวสั้นเกี่ยวกับโรคโควิด-19 ช่วงปลายเดือนมกราคมว่าจีน “ค่อนข้างโปร่งใส” ต่อทั่วโลก ในการให้ข้อมูลเกี่ยวกับไวรัส อย่างไรก็ตาม นักการเมืองสหรัฐฯ บางคนกลับใส่ร้ายป้ายสีจีน ด้วยความเห็นเหยียดเชื้อชาติ และสร้างคำลวงเกี่ยวกับบทบาทของจีนในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 บนเวทีโลก ทั้งยังทำลายความสามัคคีและความร่วมมือของทั่วโลกในการต่อสู้กับโรคโควิด-19 ทั่วโลกต้องการคำอธิบายที่ชัดเจน ว่าเหตุใดสหรัฐฯ จึงเลือกที่จะโยนความผิดให้ผู้อื่น
 
 
 
 
 
 
 
logoline
แท็กที่เกี่ยวข้อง

ข่าวที่น่าสนใจ